คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นภริยาของ จ. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ซึ่งโจทก์ระบุว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลย แม้จำเลยจะมิได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายมาสมัครไปทำงานยังต่างประเทศกับ จ.ก็ตาม แต่ในวันสมัครงานจำเลยก็เข้ามาจัดการตรวจดูเอกสารที่ผู้เสียหายยื่นประกอบใบสมัครงานว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ โดยมีจ. เป็นผู้รับเงินค่าบริการ สถานที่รับสมัครงานก็คือสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย ที่พักอาศัยของ จ. และจำเลยก็อยู่ด้านหลังสำนักงานนั้นเอง จำเลยจึงย่อมทราบว่ามีคนไปสมัครงานกับ จ. เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ไปทำงานยังต่างประเทศและมาติดตามเรื่อง จำเลยก็รับทำหน้าที่แทน จ.และพยายามหาเงินใช้คืนผู้เสียหาย ตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมรับรู้ถึงการทำงานของ จ. มาโดยตลอด ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับห้างหุ้นส่วนจำกัดสามทิพย์ก่อสร้างซึ่งเป็นนิติบุคคล นายสุจินต์ นันทวงศ์ หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสามทิพย์ก่อสร้าง และนายจันทร์คำ สมพระมิตร ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่นายณรงค์ เทพสลี นายจันทร์คำ จันทะราช นายสีมา ปันต๊ะวงศ์นายดอน วงศ์อ้ายตาล กับพวก เพื่อไปทำงานต่างประเทศ โดยจำเลยกับพวกร่วมกันเรียกและรับเงินค่าสมัครและค่าบริการจากนายณรงค์กับพวกเป็นเงินคนละ 50,000 บาท โดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางตามกฎหมาย และตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนโดยประกาศชักชวนประชาชนทั่วไปรวมทั้งนายณรงค์ นายจันทร์คำ นายสีมาและนายดอน ผู้เสียหายทั้งสี่ว่า จำเลยกับพวกสามารถส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในตำแหน่งช่างไม้ ช่างปูนและช่างเหล็กโดยต้องเสียค่าสมัคร ค่าบริการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆให้แก่จำเลยกับพวกเป็นเงินคนละ 50,000 บาท แล้วจำเลยกับพวกก็จะส่งไปทำงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาที่จะจัดส่งประชาชนคนหางานและผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานยังประเทศซาอุดีอาระเบีย และโดยการหลอกลวงของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นเหตุให้ประชาชนทั่วไปรวมทั้งผู้เสียหายทั้งสี่หลงเชื่อจึงสมัครไปทำงาน และเสียเงินค่าสมัคร ค่าบริการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้แก่จำเลยกับพวกตามที่เรียกร้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 190,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,343 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 30, 82, 92 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 190,000 บาทแก่ผู้เสียหายทั้งสี่
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 4 ปีระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายทั้งสี่เป็นที่พอใจ นับได้ว่าจำเลยรู้สึกความผิดและบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสี่ จำคุกมีกำหนด 3 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 190,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสี่นั้น ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับเงินคืนจากจำเลยเป็นที่พอใจแล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งแก่จำเลยต่อไป ซึ่งมีผลเท่ากับผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์สินที่สูญเสียไปคืนจากจำเลย คำขอข้อนี้ของโจทก์จึงให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น โจทก์มีนายจันทร์คำจันทะราช และนายณรงค์ เทพสลี ผู้เสียหายเบิกความว่า นายจันทร์คำสมพระมิตร ได้ไปบอกผู้เสียหายทั้งสองว่า นายสุจินต์ให้มาบอกว่ามีงานทำที่ประเทศซาอุดีอาระเบียในตำแหน่งช่างไม้ ช่างปูนและช่างเหล็ก นายจันทร์คำ จันทะราช และนายณรงค์สนใจจึงไปสมัครงานกับนายสุจินต์ที่สำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัดสามทิพย์ก่อสร้างและเสียเงินค่าบริการให้แก่นายสุจินต์ เห็นว่า ในการไปสมัครงานของนายจันทร์คำ จันทะราช และนายณรงค์ แม้จำเลยจะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในตอนแรกก็ตาม แต่ในวันที่นายณรงค์ยื่นใบสมัครจำเลยเข้ามาจัดการกับเอกสารของนายณรงค์โดยได้ตรวจดูว่านายณรงค์ยื่นเอกสารถูกต้อง รับสมัครงานก็คือสำนักงานห้างหุ้นส่วนจำกัดสามทิพย์ก่อสร้าง ซึ่งจำเลยเป็นหุ้นส่วนร่วมอยู่ด้วยทั้งบ้านที่อาศัยอยู่ก็อยู่ที่ด้านหลังสำนักงาน ดังกล่าว จำเลยย่อมทราบว่ามีคนไปสมัครทำงานกับนายสุจินต์ที่สำนักงาน นอกจากนี้หลังจากนายสุจินต์เดินทางไปต่างประเทศแล้ว คนงานมาติดตามเรื่องจำเลยก็ยอมรับทำหน้าที่แทนนายสุจินต์ และพยายามจัดหาเงินใช้คืนคนงาน พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมรับรู้ถึงการทำงานของนายสุจินต์มาโดยตลอด ถือได้ว่าเป็นตัวการร่วมกันกับนายสุจินต์ฉ้อโกงประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายมาโดยตลอด และพยายามขวนขวายหาเงินชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ สมควรลงโทษสถานเบาและเปิดโอกาสให้จำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ปรับ5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share