คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4214/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภรรยากันอยู่และไม่ปรากฏว่าได้ทำสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของโจทก์จำเลยในเรื่องทรัพย์สินนั้นก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 หมวด 4 ว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา และโจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภรรยากัน จะฟ้องร้องกันด้วยเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาไม่ได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น กรณีตามคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ขอแบ่งเงินค่าขายที่ดินสินสมรสจากจำเลยกึ่งหนึ่งซึ่งเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้ฟ้องแบ่งได้ ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์น่าจะมีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ก็มีอำนาจจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 และไม่อาจจัดการใด ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สินสมรส เพราะไม่มีทรัพย์สินไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายที่โจทก์ได้สินสมรสมา การกระทำของจำเลยเป็นการถ่วงความเจริญงอกงามที่จะเกิดแก่สินสมรสของโจทก์จำเลยนั้น เป็นการฎีกาอ้างข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องของโจทก์เอง เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1484 แต่อย่างใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์และจำเลยขายที่ดินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน 9 แปลง จำเลยรับเงินจากผู้ซื้อมาแล้ว 4,680,412 บาท และผู้ซื้อชำระเป็นตั๋วเงินที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่าย (แคชเชียร์เช็ค) อีก 927,600 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยส่งมอบเงินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง เพื่อโจทก์จะได้นำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งจำเป็น กับส่งเสียงเลี้ยงดูบุตรของโจทก์และจำเลยตามสมควร และเรียกร้องให้จำเลยนำตั๋วเงินไปเรียกเก็บเงินเพื่อประโยชน์ของโจทก์และจำเลย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบเงิน 2,340,206บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย กับส่งมอบตั๋วเงินแก่โจทก์เพื่อนำไปเรียกเก็บเงินภายใน 6 เดือน นับแต่วันสั่งจ่าย และโจทก์หรือจำเลยสามารถถอนเงินได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามหรือในกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่อาจบังคับได้ ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 463,800 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เงินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้รับนั้น โจทก์แบ่งไปบางส่วนแล้วที่เหลือโจทก์ตกลงจะไม่ยุ่งเกี่ยว ส่วนตั๋วเงินโจทก์ยกให้จำเลยเพื่อชดใช้ที่โจทก์นำที่ดินสินสมรสแปลงอื่นไปขาย และโจทก์จำเลยมิได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันตามกฏหมาย โจทก์จะฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยหาได้ไม่
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า เมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภรรยากันอยู่และไม่ปรากฏว่าได้ทำสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของโจทก์จำเลยในเรื่องทรัพย์สินนั้นก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 หมวด 4 ว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา และโจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภรรยากันจะฟ้องร้องกันด้วยเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาไม่ได้ เว้นแต่จะมีกฏหมายบัญญัติให้อำนาจไว้เท่านั้นกรณีตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องโจทก์ขอแบ่งเงินค่าขายที่ดินสินสมรสจากจำเลยกึ่งหนึ่งซึ่งเป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติของกฏหมายให้ฟ้องแบ่งได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ที่โจทก์อ้างว่า โจทก์น่าจะมีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ก็มีอำนาจจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1477 และอ้างว่า โจทก์ไม่อาจจัดการใด ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สินสมรสต่อไปได้ เพราะไม่มีทรัพย์สินจากการขายสินสมรสไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายที่โจทก์ได้สินสมรสมา การกระทำของจำเลยเป็นการถ่วงความเจริญงอกงามที่จะเกิดแก่สินสมรสของโจทก์จำเลยนั้น เป็นการฎีกาอ้างข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องของโจทก์เอง เพราะโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1484 แต่อย่างใด.

Share