คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3793/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อนำสืบของโจทก์ที่อ้างว่า พ. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะยินยอมเสียภาษีการค้า หรือมีเจตนาลงชื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าพนักงานของจำเลยในเอกสารที่จำเลยอ้าง เอกสารดังกล่าวจึงใช้ไม่ได้ นั้น เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร มิใช่นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสองประกอบด้วย พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 โจทก์ซื้อที่ดินมาและขายไป 3 ครั้งรวม 9 โฉนด โดยซื้อมาและขายไปภายในระยะเวลาอันสั้น ก่อนขายก็ไม่ปรากฏว่าได้ใช้ที่ดินแปลงใดเพื่อประโยชน์ในกิจการของโจทก์แต่อย่างใด ส่วนที่อ้างว่ามีโครงการจะใช้ที่ดิน โจทก์ก็ไม่มีเอกสารที่แสดงถึงโครงการเหล่านั้นมานำสืบสนับสนุน ยิ่งกว่านั้นที่ดินบางแปลงโจทก์ก็ได้ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าอีกด้วยซึ่งแสดงว่าโจทก์มิได้มีเจตนาซื้อที่ดินมาเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ อีกทั้งหลังจากขายที่ดินที่ซื้อมาไปแล้วโจทก์ก็พยายามหาซื้อที่ดินแปลงอื่นอีก พฤติการณ์มีเหตุให้เชื่อได้ว่าโจทก์ซื้อขายที่ดินเป็นทางค้าหรือหากำไร เข้าลักษณะเป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11ท้ายหมวด 4 แห่งประมวลรัษฎากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีการค้า รวม 3 รายการเป็นเงิน1,259,373.50 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ขายที่ดินเป็นทางค้าหรือหากำไรโจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินแล้ว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งไม่ชอบ
จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อขายที่ดินโดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไร เป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามประเภทการค้า 11แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วและในชั้นตรวจสอบไต่สวน ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ได้ให้ความยินยอมต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า ยินยอมชำระค่าภาษีการค้าให้แก่จำเลยจนครบถ้วน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงไม่มีอำนาจอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ในประเด็นข้อแรกนั้นจำเลยอ้างว่านางเพชรรัตน์ ปิยะรัตนพิพัฒน์ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ไปรับทราบผลการประเมินและได้ทำบันทึกตกลงยินยอมชำระภาษีอากรกับเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 214และ 215 จึงเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีผลผูกพันโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยนำสืบโดยมีนางเพชรรัตน์เบิกความว่า ในการไปให้การต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยพยานได้แจ้งว่าโจทก์ขายที่ดินไปโดยมิได้มุ่งในทางการค้าที่ดินแต่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งว่าการขายที่ดินของโจทก์ถือว่าประกอบการค้าที่ดินและให้โจทก์เสียภาษีการค้า พยานไม่ยินยอมเสียภาษีและจะอุทธรณ์ต่อไป แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ให้พยานลงชื่อไว้ในช่องผู้ให้ถ้อยคำตามเอกสารหมาย จ.53 (เอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 214และแผ่นที่ 215) โดยแจ้งว่าให้ลงชื่อไปก่อนเพราะเป็นระเบียบของกรมสรรพากรว่าต้องมีหลักฐานไว้เพื่อตรวจสอบและบอกด้วยว่าถ้าจะอุทธรณ์ในภายหลังก็ย่อมทำได้ พยานจึงลงลายมือชื่อไว้ และพยานแจ้งด้วยว่าจะอุทธรณ์การประเมินด้วย โดยระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.52ซึ่งก่อนที่จะวินิจฉัยว่า ข้อนำสืบของโจทก์ว่าเชื่อได้เพียงใด จะได้วินิจฉัยในปัญหาที่จำเลยกล่าวอ้างในอุทธรณ์เสียก่อนว่า ข้อนำสืบของโจทก์นี้เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 17 หรือไม่ เห็นว่าตามข้อนำสืบหรือข้ออ้างของโจทก์นั้นเท่ากับอ้างว่านางเพชรรัตน์ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มิได้มีเจตนาที่จะยินยอมเสียภาษีการค้าหรือเจตนาลงชื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเจ้าพนักงานของจำเลย เอกสารดังกล่าวจึงใช้ไม่ได้ เป็นการนำสืบหักล้างเอกสาร มิใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารแต่อย่างใด จึงไม่ต้องห้ามตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ฟังได้ว่าโจทก์มิได้เจตนาที่จะยินยอมหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนภาษีการค้าที่เจ้าพนักงานประเมินเรียกเก็บ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และศาล
สำหรับในประเด็นโจทก์ขายที่ดินตามฟ้องไปโดยมุ่งในทางค้าหรือหากำไรหรือไม่ เห็นว่าที่ดินทั้ง 9 โฉนดโจทก์ซื้อมาและขายไปในระยะสั้น โดยในช่วงก่อนขายไม่ปรากฏว่าได้ใช้ประโยชน์ในกิจการของโจทก์อย่างใด ที่อ้างว่ามีโครงการต่าง ๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีเอกสารแสดงถึงโครงการเหล่านั้นมาสนับสนุน ยิ่งกว่านี้เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดหนึ่งมาแล้วโจทก์ได้ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าถึง 20 หรือ 30 ปีแสดงว่าโจทก์มิได้เจตนาซื้อที่ดินมาเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์และสำหรับที่ดิน 6 โฉนดที่ซื้อมาจากนายสมศักดิ์ ก็ปรากฏว่าได้ทำสัญญาให้นายสมศักดิ์เช่า นอกจากนี้ยังปรากฏจากคำเบิกความของนายสมบัติกรรมการของบริษัทโจทก์ว่า หลังจากที่ขายที่ดินไปทั้งสามครั้งที่พิพาทนี้แล้ว โจทก์ก็พยายามหาที่ดินที่อยู่ติดกับแม่น้ำและมีทางเข้าไปได้ก็ปรากฏว่าซื้อไม่ได้ ที่หาได้ก็แพงจนไม่สามารถซื้อได้ต้องไปขอเช่าที่ดินของคนอื่น จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่าที่ดินที่โจทก์ขายไปทั้งสามครั้งนี้ โจทก์ซื้อมาเพื่อทางค้าหรือหากำไรเมื่อขายไปแล้วจึงต้องหาซื้ออีก ส่วนที่ปรากฏว่า การขายที่ดินครั้งแรกได้ขายให้แก่บริษัทในเครือเดียวกันก็ดี และขายครั้งที่สามได้ขายคืนให้แก่บริษัทของผู้ขายเดิมโดยขายเท่าทุนก็ดี ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะให้ฟังว่ามิใช่การขายเพื่อทางค้าหรือหากำไรพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก พยานจำเลยล้วนเป็นเจ้าพนักงานดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงจากคนภายนอกอย่างกว้างขวางในการปฏิบัติการตามหน้าที่ มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานหลักฐานโจทก์ คดีฟังได้ว่าโจทก์ขายที่ดินไปทั้งสามครั้งเพื่อทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งได้กระทำโดยชอบแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share