แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้วยื่นอุทธรณ์ย่อโดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์แต่อย่างใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร กลับมีเนื้อความทำนองขอยืดเวลาอุทธรณ์ อุทธรณ์เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193วรรคสอง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้เป็นอุทธรณ์โดยชอบได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงอีก
การที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดที่ร่วมกันกระทำความผิดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นรายๆ ไป จำเลยหลายคนที่ต้องหาว่าร่วมกระทำผิดอยู่ด้วยกันโดยตลอดนั้นพยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงมากน้อยผิดกันได้ ที่มีน้ำหนักพอก็ลงโทษไปที่เบาบางก็ต้องปล่อยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายตัว โดยเฉพาะคดีนี้ จำเลยที่ 4 ต้องหาในการกระทำความผิดเป็นคนละตอนกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3เหตุที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยที่ 4 เพราะพยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่พอจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดี ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ศาลอุทธรณ์ยกเหตุนี้ขึ้นพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันบุกรุกและพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365, 335, 336 ทวิ, 83, 80
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365, 335, 336 ทวิ, 83, 80, 91 ลงโทษจำเลยตามมาตรา 335, 336 ทวิ, 83, 80 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 4 รับสารภาพในชั้นสอบสวน ลดโทษให้ตามมาตรา 78 หนึ่งในสาม ให้จำคุกจำเลยที่ 4 ไว้ 3 ปี 4 เดือน
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าจำเลยทั้งสี่คือคนร้ายผู้กระทำความผิดดังฟ้องหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้วยื่นอุทธรณ์ย่อโดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์แต่อย่างใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร กลับมีเนื้อความทำนองขอยืดเวลาอุทธรณ์ อุทธรณ์เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรค 2 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับเป็นอุทธรณ์ ก็ไม่ทำให้เป็นอุทธรณ์โดยชอบได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีนี้ไว้ คดีสำหรับจำเลยดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีก มีปัญหาต่อไปว่าข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน้อยไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 4 เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีที่จะทำให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 หรือไม่เห็นว่าการที่พยานหลักฐานโจทก์เพียงพอจะรับฟังลงโทษจำเลยคนใดได้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยแต่ละคนเป็นการเฉพาะตัวเป็นราย ๆ ไป จำเลยหลายคนที่ต้องหาว่าร่วมกระทำความผิดอยู่ด้วยกันโดยตลอด พยานหลักฐานของโจทก์อาจพาดพิงถึงมากน้อยผิดกันได้ ที่มีน้ำหนักพอก็ลงโทษไป ที่เบาบางก็ต้องปล่อยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากทางนำสืบเป็นรายตัว ยิ่งกว่านั้นในคดีนี้จำเลยที่ 4 ยังต้องหากระทำความผิดเป็นคนละตอนกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อีกด้วย เหตุที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยที่ 4 เพราะพยานหลักฐานมีน้ำหนักไม่พอจึงไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดีตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุนี้ขึ้นพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
สำหรับจำเลยที่ 4 ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 4 มีน้ำหนักและเหตุผลไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษและบังคับคดีจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์