คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3652/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำสืบพยานบุคคลที่อ้างว่ารู้เห็นเกี่ยวกับเงินฝากในธนาคารว่าเป็นของผู้อื่นหลายปากเพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยได้แล้วทั้งไม่ได้ความว่าพยานที่โจทก์จะนำสืบมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากพยานโจทก์ที่นำสืบมาแล้วอย่างไร ศาลชั้นต้นมีอำนาจไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานบุคคลในประเด็นดังกล่าวของโจทก์ต่อไป เมื่อฟังไม่ได้ว่าเงินในบัญชีธนาคารเป็นเงินที่โจทก์รับฝากบุคคลอื่น เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบที่จะถือเอายอดเงินสดที่โจทก์นำเข้าฝากในบัญชีธนาคารของโจทก์ทั้งหมดเป็นหลักในการคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์ โดยเปรียบเทียบกิจการค้าของโจทก์กับร้านค้าซึ่งมีสถานการค้าอยู่ในทำเลเดียวกันและค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันกับโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์และพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมิน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบหลักฐานจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์รวมหลายธนาคารระหว่างปี พ.ศ. 2516ถึงปี พ.ศ. 2520 จึงถือเอาเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(8)แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อโจทก์ไม่ยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้ให้ถูกต้องครบถ้วน จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มระหว่างปี 2516 ถึง 2520 ให้แก่จำเลยที่ 1 รวมจำนวน868,368.29 บาท การประเมินดังกล่าวมีการไต่สวนรวม 12 ครั้งแต่โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์และแสดงหลักฐานได้ว่ารายการเงินสดฝากธนาคารเป็นเงินอย่างอื่นไม่ใช่เงินได้ของโจทก์ที่ได้มาจากการขายของและอื่น ๆ การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยานบุคคลเกี่ยวกับเงินของลูกเสือชาวบ้าน เงินของสโมสรไลอ้อนนครศรีธรรมราชและเงินของตัวแทนจำหน่ายสินค้าร้านอื่นที่นำเงินสดมาฝากกับโจทก์ เป็นการสืบพยานซ้ำซ้อนและทำให้คดีล่าช้าหรือไม่นั้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 26 พฤศจิกายน2530 พยานที่โจทก์มีความประสงค์จะนำสืบต่อไปคือ นายสมพงษ์ ลักษณะพรหม นายชัยศักดิ์ ขัตติโยทัยวงศ์นายเติมศักดิ์ เลี้ยงตั้งสกุล นายมนตรี ศรีตระกูล นายสนิทปิ่นปลื้มจิตต์ และนายจีรวัฒน์ ชัยชูวิบูลย์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้นำสืบพยานบุคคลที่อ้างว่ารู้เห็นเกี่ยวกับการนำเงินดังกล่าวมาฝากหลายปากเพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยได้แล้ว และไม่ได้ความว่าพยานโจทก์ที่จะนำสืบต่อไปมีรายละเอียดเพิ่มเติมจากพยานโจทก์ที่นำสืบมาแล้วแต่อย่างใด ฉะนั้นหากจะให้นำสืบพยานโจทก์อีกก็จะซ้ำซ้อนกับพยานที่โจทก์นำสืบมาแล้ว ย่อมทำให้คดีล่าช้าประกอบกับในการสืบพยานโจทก์ในนัดก่อนหน้านั้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2530 ศาลชั้นต้นก็ได้กำชับโจทก์ว่าในนัดต่อไป ศาลจะสืบพยานคดีนี้ทั้งวัน ให้โจทก์นำพยานมาศาลให้เหมาะสมและเพียงพอกับเวลาที่นัดพิจารณาของศาลด้วยเพื่อไม่ให้คดีต้องล่าช้าต่อไป เพราะตามพฤติการณ์ที่ปรากฏมาตั้งแต่ต้น โจทก์ดำเนินคดีล่าช้า คล้ายกับมีพฤติการณ์ไปในทางประวิงคดี ศาลฎีกาจึงเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบพยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์ และให้ถือว่าหมดพยานโจทก์ชอบแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาว่า การประเมินภาษีเงินได้และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า ในการประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์ประจำปี 2516 ถึง 2520 เจ้าพนักงานประเมินถือเอาเงินสดที่โจทก์นำเข้าฝากในบัญชีของโจทก์ในธนาคารกรุงเทพ จำกัดธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด และธนาคารนครหลวงไทย จำกัดสาขานครศรีธรรมราช ประจำปี 2516 ถึง 2520 เป็นหลักในการคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์ทั้งหมด แต่โจทก์อ้างว่าเงินในบัญชีดังกล่าวนี้เป็นเงินที่โจทก์ได้มาโดยตัวแทนจำหน่ายสินค้าของห้างร้านอื่นนำเงินสดที่เก็บได้จากลูกค้ามาแลกเช็คไปจากโจทก์ เพื่อป้องกันการโจรกรรม บางส่วนก็เป็นเงินของกองทุนสนับสนุนกิจการลูกเสือชาวบ้าน ซึ่งโจทก์เป็นเลขานุการกองทุน นำมาฝากในบัญชีของโจทก์เพื่อหักหนี้ที่โจทก์จ่ายเงินทดรองไป บางส่วนเป็นเงินของญาติโจทก์ซึ่งอยู่ต่างอำเภอ นำผลิตผลมาขายในเมืองไม่กล้านำเงินสดกลับบ้าน เพราะกลัวโจรผู้ร้าย จึงฝากโจทก์ไว้ก่อนและบางส่วนเป็นเงินของสโมสรไลอ้อนนครศรีธรรมราช ซึ่งโจทก์เป็นผู้ช่วยเหรัญญิกนำมาฝากเมื่อเหรัญญิกไม่อยู่ กับเงินของวัดมเหยงค์ ซึ่งโจทก์เป็นไวยาวัจกร แต่ปรากฏว่าโจทก์เคยให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2523 ตามเอกสารหมาย ล.9 แผ่นที่ 4 ว่าโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเงินของบุคคลใดเข้าบัญชีเมื่อใดและถอนออกไปเมื่อใด เพราะโจทก์ไม่ได้จัดทำหลักฐานใด ๆ ไว้และต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2523 โจทก์ให้การเพิ่มเติมต่อเจ้าพนักงานประเมินตามเอกสารหมาย ล.11 แผ่นที่ 1 ว่า โจทก์ทิ้งหลักฐานนั้น ๆไปหมดแล้ว มิได้เก็บรักษาไว้และในชั้นอุทธรณ์การประเมินโจทก์ให้การต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2524ตามเอกสารหมาย ล.13 แผ่นที่ 2 ว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานแต่ทำไปเพราะเชื่อใจกันเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เงินที่โจทก์อ้างว่ารับฝากจากบุคคลอื่นไว้นี้มีเป็นจำนวนมาก และเป็นของบุคคลหลายคนเพื่อป้องกันการสับสนหรือโต้เถียงกันในภายหลัง บุคคลในฐานะเช่นโจทก์น่าจะจัดทำหลักฐานการรับจ่ายไว้ แต่ตามคำให้การของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินให้การกลับไปกลับมาจนฟังเป็นยุติไม่ได้ว่า โจทก์ได้จัดทำหลักฐานการรับจ่ายเงินไว้หรือไม่ ทั้งไม่มีเหตุผลอันใดที่โจทก์จะรับภาระช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวถึงขนาดนั้นโดยโจทก์มิได้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างใดเลย เฉพาะอย่างยิ่งตัวแทนจำหน่ายสินค้าของห้างร้านอื่นที่มีหน้าที่เก็บเงินจากลูกค้าในต่างจังหวัดหรือพวกญาติของโจทก์ที่นำสินค้ามาขายในเมืองเป็นประจำ ก็น่าจะเปิดบัญชีเงินฝากของตนเองไว้ที่ธนาคารด้วย เพราะจะเป็นการสะดวกและปลอดภัยกว่าที่จะมาขอร้องให้โจทก์ช่วยเหลือสำหรับกองทุนสนับสนุนกิจการลูกเสือชาวบ้านสโมสรไลอ้อนนครศรีธรรมราชและวัดมเหยงค์ก็เช่นกัน โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ทั้งสามรายมีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารในนามของตนเองอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะนำเงินที่รับไว้มาฝากเข้าบัญชีของโจทก์ก่อน ในชั้นไต่สวนของเจ้าพนักงานประเมินและในชั้นพิจารณาอุทธรณ์การประเมิน จำเลยได้ให้โอกาสโจทก์พิสูจน์ถึงที่มาของเงินดังกล่าวหลายครั้ง แต่โจทก์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อนำสืบของโจทก์เป็นการเลื่อนลอยฟังไม่ได้ว่าเงินในบัญชีธนาคารดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์รับฝากจากบุคคลอื่นตามที่โจทก์อ้าง ที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินถือเอายอดเงินสดที่โจทก์นำเข้าฝากในบัญชีของโจทก์ในธนาคารดังกล่าวทั้งหมดเป็นหลักในการคำนวณภาษีเงินได้ของโจทก์โดยคิดเปรียบเทียบกับกิจการค้าขายของโจทก์กับร้านสุฤทธิ์แอนด์โกซึ่งมีสถานการค้าอยู่ในทำเลเดียวกันและค้าขายสินค้าประเภทเดียวกันกับโจทก์ แต่มียอดการเสียภาษีเงินได้แตกต่างกว่าที่โจทก์ยื่นเสียภาษีไว้มาก การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) แล้ว…”
พิพากษายืน.

Share