คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3374/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับเพื่อคนหนึ่งได้พากันดื่มสุราจนเมาจากนั้นได้ไปเล่นไฮโลซึ่งจำเลยเป็นเจ้ามือ ผู้ตายยักเงินผู้อื่นจึงเกิดทะเลาะกับจำเลย ผู้ตายชกจำเลยก่อนหนึ่งถูกที่หัวไหล่เมื่อมีผู้เข้ารัดคอผู้ตายไว้จำเลยก็เดินหนีไป แต่พอผู้ตายดิ้นหลุดได้วิ่งเข้าไปหาจำเลยเพื่อจะทำร้าย จำเลยจึงใช้มีดซึ่งยาวทั้งตัวและด้ามประมาณ 1 ฟุต แทงผู้ตายหนึ่งทีแล้วหนีไป ผู้ตายถึงแก่ความตายการที่ผู้ตายอยู่ในลักษณะเมาสุรามากประกอบกับทั้งไม่มีอาวุธแทบจะช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว ตามไปทำร้ายจำเลยก็เพียงทำไปตามประสาคนเมา มิใช่ภัยร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงจำเลยใช้เท้าเตะหรือใช้มือผลักผู้ตายก็สู้จำเลยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จำเลยใช้มีดยาว 1 ฟุต แทงอวัยวะที่สำคัญย่อมถือว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้พาอาวุธมีดพกปลายแหลมทั้งตัวมีดและด้ามยาว 12 นิ้ว 1 เล่ม ติดตัวไปในหมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควรและจำเลยได้ใช้อาวุธมีดที่ติดตัวไปดังกล่าวแทงนายพงษ์ศักดิ์โพธาภิวัฒน์ 1 ครั้ง ที่บริเวณหน้าอก เป็นเหตุให้นายพงษ์ศักดิ์ถึงแก่ความตายในชั่วขณะนั้นเองสมดังเจตนาของจำเลย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมมีดที่จำเลยใช้แทงผู้ตายเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสมหมาย โพธาภิวัฒน์ ภริยาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 68, 69 (ที่ถูกมาตรา 288ประกอบมาตรา 69), 371 การกระทำเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพราะป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 5 ปี ความผิดฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท รวมเป็นจำคุก 5 ปีและปรับ 100 บาท ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับเพื่อนคนหนึ่งชื่อนายประสาทได้พากันดื่มสุราจนเมา หลังจากนั้นได้ไปเล่นไฮโลซึ่งจำเลยเป็นเจ้ามือ เนื่องจากผู้ตายยักเงินของผู้อื่นจึงเกิดการทะเลาะกับจำเลย ผู้ตายชกจำเลยก่อนหนึ่งทีถูกที่หัวไหล่ เมื่อมีผู้เข้ารัดคอผู้ตายไว้จำเลยก็เดินหนีไป แต่พอผู้ตายดิ้นหลุดได้วิ่งเข้าไปหาจำเลยเพื่อจะทำร้าย จำเลยจึงใช้มีดซึ่งยาวทั้งตัวและด้ามประมาณ 12 นิ้ว แทงผู้ตายหนึ่งทีถูกที่หน้าอกแล้วหนีไป ผู้ตายถึงแก่ความตาย เมื่อข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ตายก็อยู่ในลักษณะเมาสุรามากประกอบทั้งไม่มีอาวุธ แทบจะช่วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว ที่ตามไปทำร้ายจำเลยก็เพียงทำไปตามประสาคนเมามิใช่ภัยร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงจำเลยใช้เท้าเตะหรือใช้มือผลักผู้ตายก็สู้จำเลยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จำเลยใช้มีดยาวถึงหนึ่งฟุตแทงอวัยวะที่สำคัญย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้ตายอาจมีอาวุธมีดหรือไม้ทำร้ายจำเลยก็ได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายจึงถือว่ากระทำไปพอสมควรแก่เหตุนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงนี้ไปแล้วว่าผู้ตายมีแต่มือเปล่า ๆไม่มีอาวุธ จำเลยหาอาจจะฎีกาเถียงข้อเท็จจริงว่าผู้ตายอาจมีอาวุธได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share