แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีไม้สักแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองโดยอ้างเอาพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งรับขนไม้ของกลางโดยรู้อยู่ว่าเป็นไม้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีส่วนครอบครองไม้ของกลางด้วย แต่ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่ 1ร่วมครอบครองไม้ของกลาง ดังนี้การนำข้อสันนิษฐานมาลงโทษจำเลยย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะความจริงอาจเป็นดังข้อสันนิษฐานหรือเป็นอย่างอื่นก็ได้ทั้งสองกรณี ฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิด ถือได้ว่ามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานร่วมครอบครองไม้ของกลางหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกระทำผิดฐานครอบครองไม้ของกลาง แต่การที่จำเลยที่ 1 รับขนไม้ของกลางให้ผู้กระทำผิดโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิด จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48 วรรคแรก, 73 วรรคสอง, 74, 74 ทวิลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48วรรคสอง, 73 วรรคสอง, 74, 74 ทวิ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86 ให้วางโทษสองในสามคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายประเสริญ อยู่ปูน เจ้าพนักงานป่าไม้จับกุมจำเลยที่ 1 และยึดได้ไม้สักแปรรูปของกลาง 377 แผ่น ปริมาตร 13.79ลูกบาศก์เมตร บรรทุกอยู่บนรถบรรทุกสิบล้อซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นคนขับเป็นของกลาง ไม้ของกลางเป็นไม้ใหม่ไม่มีรูปรอยดวงตราของพนักงานเจ้าหน้าที่ประทับไว้… คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ซึ่งต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1รู้หรือไม่ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้จำเลยที่ 1 เบิกความฟังได้ว่านายอำนวยหรือกำนันแป๊ะกับนายยุ่งจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนไม้เรือนเก่า แต่นายเจริญบิดาของจำเลยที่ 1 กลับเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ไปขอรถบรรทุกจากนายเจริญโดยบอกว่าจะนำไปบรรทุกพืชไร่ จำเลยที่ 1 จึงปกปิดความจริงไม่บอกแม้แต่บิดาของตน แสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้อยู่ว่าไม้ที่จำเลยที่ 1 รับขนให้นายอำนวยนั้นเป็นไม้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้ปรากฏว่ารถบรรทุกไม้ของกลางใช้ผ้าใบปิดคลุมอย่างมิดชิด ทั้งนายอำนวยก็มิได้มอบหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับการได้รับอนุญาตให้ขนไม้ของกลางให้แก่จำเลยที่ 1 โดยบอกว่าจะเป็นผู้ติดต่อกับด่านป่าไม้เอง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายจึงต้องปกปิดและพูดจาตกลงกับด่านป่าไม้เป็นพิเศษเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 รู้อยู่ว่าไม้ของกลางเป็นไม้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาต่อไปมีว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมครอบครองไม้ของกลางด้วยหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมครอบครองไม้ของกลางด้วย ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีไม้ของกลางไว้ในครอบครองด้วยนั้น โจทก์อ้างเอาพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นข้อสันนิษฐานว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมครอบครองไม้ของกลางด้วย เห็นว่า การนำข้อสันนิษฐานมาลงโทษจำเลยย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะความจริงอาจเป็นดังข้อสันนิษฐานหรือเป็นอย่างอื่นก็ได้ทั้งสองกรณี ฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิด ถือได้ว่ามีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรวมครอบครองไม้ของกลางหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกระทำผิดฐานครอบครองไม้ของกลางด้วย แต่การที่จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่า ไม้ของกลางเป็นไม้ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 1 ได้รับทำการขนไม้ของกลางให้ผู้กระทำผิด จึงเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.