แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ไถ่ถอนจำนองแล้วทำยอมโดยจำเลยขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์ที่จำนองขายทอดตลาด ต่อมาจำเลยผิดนัดโจทก์จึงนำยึดทรัพย์ที่จำนอง ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินที่ถูกยึด ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งโดยการครอบครอง จำเลยนำไปจำนองไว้กับโจทก์โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอม ขอให้ปล่อยทรัพย์ ต้องถือว่าผู้ร้องคัดค้านว่าโจทก์รับจำนองทรัพย์อันเป็นของผู้ร้องไว้จากจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิจะยึดขายทอดตลาดได้ ฉะนั้น ที่ศาลอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ว่า แม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกยึดจริงดังอ้าง ก็ต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ และยกคำขอของผู้ร้องเสียนั้น จึงไม่เกินประเด็น (ผู้ร้องอ้างว่าไม่ชอบที่จะยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ขึ้นปรับ แต่ควรวินิจฉัยว่าที่ดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของใคร แล้วยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288,296 ขึ้นปรับ)
ย่อยาว
เรื่องนี้ อนุสนธิจากจำเลยที่ ๒ จำนองทรัพย์สินไว้กับโจทก์เพื่อประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ โจทก์ฟ้องจำเลยให้ไถ่จำนอง แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความขอผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ ถ้าผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์จึงนำยึดทรัพย์ที่จำนอง ผู้ร้องร้องขอให้ปล่อยทรัพย์และคดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะที่ดินมีโฉนด ๒ แปลง ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์อยู่แปลงละครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ ๒ นำเงินของผู้ร้องรวมกับเงินของจำเลยที่ ๒ ไปซื้อ และลงชื่อจำเลยที่ ๒ ไว้ในโฉนดผู้เดียว แต่ตกลงแบ่งให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง ผู้ร้องได้ครอบครองเป็นส่วนสัด จำเลยที่ ๒ นำที่ดินส่วนของผู้ร้องไปจำนองไว้กับโจทก์โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอม ขอให้ปล่อยที่ดินส่วนของผู้ร้อง
โจทก์ให้การว่า ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ ผู้เดียว จำเลยที่ ๒ ก็ให้การเช่นเดียวกันนี้และว่า จำเลยที่ ๒ มีสิทธิจำนองได้
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานว่า ในประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงละครึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้งดสืบพยานเกี่ยวกับประเด็นนี้ แล้ววินิจฉัยว่า ที่ดินนั้นจำเลยที่ ๒ มีชื่อในโฉนดผู้เดียว และผู้ร้องเพียงแต่กล่าวว่าจำเลยที่ ๒ จำนองโดยผู้ร้องไม่รู้เห็นด้วยเท่านั้น มิได้อ้างว่าการจำนองเป็นไปโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน แม้จะเป็นความจริงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของอยู่ครึ่งหนึ่งดังอ้างก็จะต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ดังประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ พิพากษาให้ยกคำขอให้ปล่อยที่ดิน ๒ แปลงนี้
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ในคดีนี้ต้องถือว่าผู้ร้องคัดค้านว่าโจทก์รับจำนองทรัพย์อันเป็นของผู้ร้องไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิจะยึดขายทอดตลาดได้ โดยมีเหตุตามที่อ้างในคำร้อง คดีจึงมีประเด็นวินิจฉัยว่า เหตุที่อ้างนั้นจะทำให้การจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่ศาลล่างอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๙ ว่า แม้ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของที่ดินจริงดังอ้าง ก็ต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ และยกคำขอเกี่ยวกับที่ดินนั้น จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินเลยประเด็น และผู้ร้องอ้างเหตุแต่เพียงว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์รับจำนองไว้โดยไม่สุจริต ต้องฟังว่าสุจริต ผู้ร้องรับอยู่ว่าได้กรรมสิทธิ์มาด้วยอำนาจการครอบครองซึ่งยังมิได้จดทะเบียน จึงปรับบทได้ตามมาตรา ๑๒๙๙ ว่า มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ได้ทรัพยสิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว พิพากษายืน