คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกครบกำหนดแล้ว โจทก์จำเลยได้ตกลงต่ออายุสัญญาออกไปอีก 1 ปี หลังจากครบกำหนดที่ต่ออายุสัญญาคงมีแต่การคิดดอกเบี้ยทบต้นเข้ากับต้นเงินเป็นประจำเดือนตลอดมา ไม่ปรากฏว่ามีการเดินสะพัดในบัญชีอันจะแสดงว่าโจทก์ได้ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก และจำเลยผิดนัดไม่นำเงินส่วนที่เหลือหลังจากหักทอนบัญชีแล้วมาชำระ ทั้งโจทก์เพิกเฉยไม่นำเงินฝากประจำของจำเลยเข้าหักทอนบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเสียเมื่อครบกำหนดต่ออายุสัญญาตามที่จำเลยได้ตกลงยินยอมไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่ทำสัญญาคงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาจนเกือบ 2 ปี โจทก์จึงนำเงินฝากประจำของจำเลยเข้าหักทอนบัญชี พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงในวันครบกำหนดต่ออายุสัญญาตามที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าว นับแต่นั้นเป็นต้นไปโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีก คงคิดได้อย่างไม่ทบต้นเท่านั้น ทั้งโจทก์ชอบที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงโดยหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ในวันที่สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงและเป็นวันที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อได้ความว่าในวันที่สัญญาสิ้นสุดลงดังกล่าวโจทก์ได้นำเงินฝากประจำของจำเลยบางส่วนมาหักใช้หนี้โจทก์ อันเป็นการแสดงเจตนาใช้สิทธิตามที่ได้ตกลงกันไว้เพื่อระงับหนี้ที่มีอยู่แล้ว หนี้ที่เหลือโจทก์ก็ชอบที่จะนำเงินฝากประจำของจำเลยที่เหลือทั้งหมดมาหักใช้หนี้ หากมีหนี้คงเหลืออยู่อีกเท่าใด โจทก์ก็มีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ในส่วนนั้นจากจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์มีกำหนด12 เดือน ได้มอบสมุดเงินฝากประจำของจำเลยไว้เป็นประกัน และยอมให้โจทก์โอนเงินฝากประจำชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีได้ทันทีเมื่อจำเลยผิดนัด จำเลยได้โอนเงินฝากประจำมาลดยอดหนี้หลายครั้ง และได้หักทอนบัญชีแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 900,296.21 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จริง และโจทก์ให้จำเลยเบิกหรือถอนเงินผ่านบัญชีกระแสรายวันไปแล้วหลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ใช้บัญชีเดินสะพัดอีกเลย หากโจทก์นำเงินฝากประจำในบัญชีของจำเลยไปหักทอนบัญชีเดินสะพัดแล้ว จำเลยจะไม่เป็นหนี้โจทก์เลย ในวันที่ 29 ตุลาคม 2523 รายการในบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นเป็นเพราะโจทก์เอาดอกเบี้ยมาทบเป็นต้นเงิน หากฟังว่าเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2524 จำเลยได้ต่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไปอีก 12 เดือน บัญชีเดินสะพัดจึงสิ้นสุดในวันที่ 29 ตุลาคม 2525หลังจากนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น บัญชีเดินสะพัดตามบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องจึงไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 306,085.73 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่30 ตุลาคม 2525 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 900,296.21บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดเมื่อใด โดยจำเลยฎีกาว่าสิ้นสุด ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2525 นั้นปรากฏว่าเมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีฉบับแรกครบกำหนดในวันที่28 ตุลาคม 2524 โจทก์จำเลยได้ตกลงต่ออายุสัญญาออกไปอีกนับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2524 ถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2525 หลังจากครบกำหนดที่ต่ออายุสัญญาแล้วคงมีแต่การคิดดอกเบี้ยทบเข้ากับต้นเงินเป็นประจำเดือนตลอดมา ไม่ปรากฏว่ามีการเดินสะพัดในบัญชีอันจะแสดงว่าโจทก์ได้ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีต่อไปอีก และจำเลยผิดนัดไม่นำเงินส่วนที่เป็นจำนวนเงินคงเหลือหลังจากหักทอนบัญชีแล้วมาชำระ ทั้งโจทก์เพิกเฉยไม่นำเงินฝากประจำของจำเลยจำนวน 2,000,000 บาท เข้าหักทอนบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเสียเมื่อครบกำหนดต่ออายุสัญญาตามที่จำเลยได้ตกลงยินยอมไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่ทำสัญญาเมื่อวันที่ 29ตุลาคม 2523 คงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2527โจทก์จึงได้นำเงินฝากประจำจำนวนดังกล่าวของจำเลยเข้าหักทอนบัญชีพฤติการณ์แห่งคดีเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า คู่กรณีทั้งสองฝ่ายให้ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่ 28 ตุลาคม 2525ซึ่งเป็นวันครบกำหนดต่ออายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามที่ระบุไว้ในสัญญา ดังนั้นนับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2525 เป็นต้นไปโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีก คงคิดได้อย่างไม่ทบต้นเท่านั้น ที่โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นไปจนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2529 จึงไม่ชอบ และโจทก์ชอบที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงโดยหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ในวันที่ 28 ตุลาคม 2525 ซึ่งเป็นวันที่สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงและเป็นวันที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ได้ความว่าในวันที่ 29 ตุลาคม 2525 โจทก์ได้นำเงินฝากประจำของจำเลยจำนวน 229,651.97 บาท มาหักใช้หนี้โจทก์อันเป็นการแสดงเจตนาใช้สิทธิตามที่ได้ตกลงกันไว้เพื่อระงับหนี้ที่มีอยู่แล้ว ทำให้คงเหลือหนี้อีกเป็นจำนวน 2,306,085.73 บาทปรากฏว่าในวันดังกล่าวจำเลยมีเงินฝากประจำจำนวน 2,229,651.97 บาทถ้านำมาหักใช้หนี้แล้วจะเหลือหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชำระแก่โจทก์เป็นจำนวน 76,433.76 บาท โจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้จากจำเลยตามจำนวนดังกล่าว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 76,433.76 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2525จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องไม่ให้คิดเกิน69,828.44 บาท.

Share