แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฉ้อฉลหลอกลวงขายสินค้าให้แก่จำเลย แต่จำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินค้า และพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยอุทธรณ์โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีย่อมคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นที่วินิจฉัยให้โจทก์แพ้ โดยตั้งประเด็นเรื่องโจทก์ฉ้อฉลหลอกลวงขายสินค้าให้แก่จำเลยหรือไม่นั้นมาในคำแก้ อุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 237 และมาตรา 240.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยซื้อสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ จากโจทก์แล้จำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาสินค้า ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 390,760 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 381,360 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์จริง แต่สินค้าโซเวนท์ เอพี โจทก์ขายให้แก่จำเลยโดยฉ้อฉลและหลอกลวงอ้างว่าเป็นสินค้าพิเศษและคุณภาพดี เมื่อใช้ผสมกับสารอื่น ๆ แล้วทำให้ผลิตภัณฑ์สีของจำเลยมีคุณภาพดีจำเลยหลงเชื่อจึงได้ซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์ โจทก์คิดราคาแพงผิดปกติ เป็นเหตุให้จำเลยจ่ายเงินให้แก่โจทก์เกินความจริง และโจทก์เรียกราคาสินค้าเกินความจริงไปจำนวน 63,668.20 บาท จำเลยได้ขอให้โจทก์คืนเงินและลดค่าสินค้าลงโจทก์ไม่ยอมจำเลยจึงขอหักกลบลบหนี้เงินส่วนที่โจทก์คิดเกินไปออกจากเงินจำนวน 3381,360 บาท จำเลยคงชำระให้โจทก์อีกเพียง 20,000 บาทเศษ และโจทก์กระทำการฉ้อฉล ไม่สุจริต จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์กระทำการฉ้อฉล ทำให้จำเลยซื้อสินค้าในราคาสูง แต่จำเลยไม่มีสิทธิขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์เพราะหนี้ดังกล่าวยังมีข้อต่อสู้ จำเลยต้องชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 390,360 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 381,360บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยตามประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ขายสินค้าให้จำเลยโดยไม่ได้ทำการฉ้อฉลหลอกลวง จำเลยซื้อด้วยความสมัครใจจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายใดจากโจทก์ และไม่มีค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่จำเลยจะนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ได้ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นเรื่องโจทก์ไม่ได้ฉ้อฉลหลอกลวงขายสินค้าให้แก่จำเลยตามคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ฉ้อฉลหลอกลวง จำเลยซื้อโดยสมัครใจ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าประเด็นเรื่องโจทก์ฉ้อฉลหลอกลวงขายสินค้าให้แก่จำเลยหรือไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ศาลชั้นต้น โดยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ฉ้อฉลหลอกลวงขายสินค้าให้แก่จำเลย แต่ฟังว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อจำเลยอุทธรณ์ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีย่อมคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นที่วินิจฉัยให้โจทก์แพ้ โดยตั้งประเด็นเรื่องโจทก์ฉ้อฉลหลอกลวงขานสินค้าให้แก่จำเลยหรือไม่นั้นมาในคำแก้อุทธรณ์ซึ่งเป็นคำคู่ความขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 237และมาตรา 240 แล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์ไม่ได้ฉ้อฉลหลอกลวงจำเลย จำเลยซื้อสินค้าด้วยความสมัครใจประเด็นเรื่องจำเลยหักกลบลบหนี้ได้หรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน.