คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องคดีไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์เหล่านั้น โจทก์ต้องฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2) ถ้าโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสุรินทร์ที่มูลคดีเกิดขึ้น โจทก์จะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลจังหวัดสุรินทร์จะเป็นการสะดวกเพื่อให้ศาลจังหวัดสุรินทร์ใช้ดุลยพินิจอนุญาตเสียก่อน โจทก์จึงจะฟ้องจำเลยได้ ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 (2) บัญญัติบังคับไว้ การที่โจทก์มิได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องและมิได้แสดงให้ศาลจังหวัดสุรินทร์เห็นว่าจะเป็นการสะดวกในการพิจารณา แม้ต่อมาศาลจังหวัดสุรินทร์จะมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ดำเนินดคีอย่างคนอนาถา ให้รับคำฟ้อง หมายเรียกจำเลยแก้คดี ก็ถือไม่ได้ว่าศาลได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยนอกเขตศาลจังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่
ข้อเท็จจริงใหม่ที่โจทก์ยกขึ้นมาอ้างในชั้นฎีกาซึ่งมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ฟ้องว่านายไหม ทองพรหม ลูกจ้างจำเลยขัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อบรรทุกข้าวสารอันเป็นการกระทำในกิจการของจำเลย ชนรถโดยสารของโจทก์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้คนขับรถโดยสารของโจทก์และผู้โดยสารในรถตายและบาดเจ็บสาหัสอีกหลายคน รถของโจทก์เสียหายจนไม่อาจซ่อมแซมได้ เหตุเกิดที่ตำบลปรืออำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๑,๑๖๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะลูกจ้างของโจทก์ขับรถโดยประมาท จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์และบริษัทขนส่งจำกัดเรียกค่าเสียหายต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาแล้ว คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาความเสียหายของโจทก์ไม่มากดังฟ้อง จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์นำคดีมาฟ้องที่ศาลจังหวัดสุรินทร์โดยมิได้ยื่นคำร้องขอและได้รับอนุญาตจากศาล จึงอยู่นอกเขตอำนาจศาลจังหวัดสุรินทร์ที่จะพิจารณา ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาล ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสุรินทร์ซึ่งมูลคดีเกิดขึ้น โดยไม่ยื่นคำร้องขออนุญาตจากศาลก่อนศาลจังหวัดสุรินทร์ไม่มีอำนาจรับฟ้องไว้พิจารณา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาและมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ให้รับคำฟ้อง หมายเรียกจำเลยแก้คดีนั้นจะฟังได้หรือไม่ว่าได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยนอกเขตศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ เห็นว่า คำฟ้องคดีนี้ไม่เกี่ยวด้วยอหังสาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์เหล่านั้น โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔ (๒) ดังนั้นถ้าโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสุรินทร์ที่มูลคดีนี้เกิดขึ้น โจทก์จะต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลจังหวัดสุรินทร์จะเป็นการสะดวกเพื่อให้ศาลจังหวัดสุรินทร์ใช้ดุลพินิจอนุญาตเสียก่อน โจทก์จึงจะฟ้องจำเลยได้ตามที่มาตรา ๔ (๒) บัญญัติบังคับไว้ การที่โจทก์มิได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องและมิได้แสดงให้ศาลจังหวัดสุรินทร์เห็นว่าจะเป็นการสะดวกในการพิจารณา แม้ต่อมาศาลจังหวัดสุรินทร์จะมีคำสั่งดังกล่าวข้างต้นนั้นก็ถือไม่ได้ว่าศาลจังหวัดสุรินทร์อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนอกเขตศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตามมาตรา ๔ (๒)
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสุรินทร์เป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่โจทก์ยกขึ้นมาอ้างในชั้นฎีกาซึ่งมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share