คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้องระบุภูมิลำเนาของจำเลยไว้ในคำฟ้อง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีจำเลยก็ระบุภูมิลำเนาตามที่โจทก์ระบุไว้นั้นด้วย แม้ต่อมาจำเลยย้ายภูมิลำเนาไปจากที่ที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ โดยมิได้แถลงให้ศาลทราบ แต่กลับมีคำร้องต่อศาลระบุภูมิลำเนาของจำเลยตามคำฟ้องอีก ดังนี้ ถือว่าจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาตามคำฟ้องอีกแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในการติดต่อกับจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ลงโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จส่งให้ศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟัง ศาลชั้นต้นได้ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยตามภูมิลำเนาในคำให้การของจำเลย ถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จึงออกหมายจับจำเลยและเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไป ครั้นถึงกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวยังจับตัวจำเลยไม่ได้ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องว่า การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่เคยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยย้ายที่อยู่จากภูมิลำเนาเดิมมาอยู่ตามที่อยู่แห่งใหม่แล้ว ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการอ่านคำพิพากษา โดยให้ศาลชั้นต้นกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุที่จะต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2532 หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าศาลส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทราบโดยไม่ชอบเพราะฉะนั้นการออกหมายจับจำเลยให้มาฟังคำพิพากษาก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ทำให้การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบถือได้ว่ายังไม่มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 360 ถนนกลางเมืองตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำเลยก็ยอมรับมาโดยตลอด โดยทำคำร้องลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2528 และลงวันที่ 4 ธันวาคม 2529 ระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนา ณ สถานที่ดังกล่าว แม้ว่าในวันที่ 4 ธันวาคม 2528 จำเลยจะได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีโดยระบุว่ามีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 360/1 ถนนกลางเมืองอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่จำเลยยอมรับตลอดมาดังกล่าวย่อมฟังได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ เมื่อจำเลยย้ายภูมิลำเนาที่อยู่ไปจากภูมิลำเนาของจำเลยที่ปรากฏในขณะที่โจทก์ยื่นคำฟ้อง โดยจำเลยไม่ได้ยื่นคำแถลงให้ศาลทราบ และยังได้ทำคำร้องยื่นต่อศาลระบุภูมิลำเนาเดิม จึงต้องถือว่าจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งโดยเฉพาะในการติดต่อกับจำเลยตามที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ลงวันที่ 5 เมษายน 2527 คือที่บ้านเลขที่ 360 ถนนกลางเมืองตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำเลยจะโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาตามที่ปรากฏในคำฟ้องหาได้ไม่เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสงสัยว่าจำเลยหลบหนี และศาลชั้นต้นได้ออกหมายจับจำเลย แต่ไม่ได้ตัวจำเลยมาภายใน 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับ ศาลชั้นต้นจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลยเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2532 นั้น จึงเป็นการอ่านโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คดีไม่มีเหตุให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว
พิพากษายืน

Share