คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า สภาพการเป็นข้าราชการของจำเลยสิ้นสุดลงโดยจำเลยลาออกจากราชการ จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ลาออกจากราชการ แต่ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการ และอ้างพยานหลักฐานต่าง ๆ ขอให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างตามฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความนั้นต่างไปจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ และอ้างวันเริ่มเกิดสิทธิเรียกร้องอันเป็นวันเริ่มนับอายุความต่างกัน ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างที่จำเลยรับราชการในสังกัดโจทก์ จำเลยได้รับการคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท-เอก ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้รับเงินเดือนจากโจทก์ตลอดระยะเวลาที่ลาไปศึกษา เมื่อเสร็จการศึกษาแล้ว จำเลยจะต้องกลับมารับราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่รับเงินเดือนระหว่างลาไปศึกษาแต่จำเลยกลับมารายงานตัวและได้โอนไปรับราชการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นยังไม่ครบกำหนดเวลาตามระเบียบ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินเดือนคืนโดยลดลงตามส่วนเวลาที่จำเลยได้รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้วเป็นเงิน 20,010.86 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงิน 20,010.86 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2516 ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นรับโอนจำเลย ดังนั้น สิทธิเรียกร้องอย่างใด ๆ ระหว่างโจทก์และจำเลยหากจะพึงมีก็สามารถบังคับได้นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม2516 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 10 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ทั้งการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีคำสั่งให้จำเลยออกจากทางราชการซึ่งมีผลตามกฎหมายที่จำเลยจะต้องปฏิบัติตามโดยไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ ถือได้ว่าเหตุที่จำเลยไม่สามารถรับราชการได้จนครบ มิใช่ความผิดของจำเลย แต่เป็นการกระทำตามคำสั่งและตามวัตถุประสงค์ของทางราชการ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,010.86บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ลาออกจากราชการ แต่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมีหนังสือไปถึงผู้บังคับบัญชาของจำเลยเพื่อขอตัวจำเลยไปบรรจุเป็นพนักงานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ผู้บังคับบัญชาของจำเลยจึงมีคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการนั้น เห็นว่า ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ได้ฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยรับราชการไม่ครบกำหนดเวลา เพราะเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม2525 จำเลยได้มีหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลย แจ้งความประสงค์จะไปทำงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526 เป็นต้นไป และในวันเดียวกันนั้นการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือด่วนมากที่ มท.1906/5791 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2525 ถึงผู้บังคับบัญชาของจำเลย ขอตัวจำเลยไปบรรจุเป็นพนักงานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2526 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้มีคำสั่งที่ 50/2526 ให้จำเลยออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2526เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยประสงค์จะออกจากราชการ จึงเป็นเรื่องที่สภาพการเป็นข้าราชการของจำเลยสิ้นสุดลงโดยจำเลยลาออกจากราชการดังนี้ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้ลาออกจากราชการ แต่เป็นเรื่องผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการโดยอ้างพยานหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 (หรือ จ.10) และขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า จำเลยได้รับทุนรัฐบาลตามความต้องการของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2510 นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงตั้งแต่วันดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.4 สิทธิเรียกร้องระหว่างโจทก์จำเลย หากจะมีย่อมเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน2510 คดีจึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องอายุความ จำเลยได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์อนุมัติให้โอนจำเลยไปรับราชการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2516นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลง สิทธิเรียกร้องอย่างใด ๆระหว่างโจทก์จำเลยหากจะพึงมีก็สามารถบังคับได้ตั้งแต่วันที่1 ตุลาคม 2516 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 10 ปี คดีจึงขาดอายุความ ซึ่งเห็นได้ว่าเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างตามฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความนั้นต่างไปจากที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้และอ้างวันเริ่มเกิดสิทธิเรียกร้องอันเป็นวันเริ่มนับอายุความต่างกัน ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน”
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share