คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านผู้ร้อง และขอให้ศาลตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก โดยกล่าวอ้างว่าตนไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสียซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคท้ายนั้น ในการตั้งผู้จัดการมรดกให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์และโดยคำนึงถึงเจตนาของเจ้ามรดก ดังนั้น ผู้คัดค้านที่ 1 จึงต้องมีหน้าที่แสดงให้ศาลเห็นว่าตนมีความประพฤติดี เหมาะสมเป็นผู้จัดการมรดก แม้จะไม่มีการคัดค้านในข้อนี้เป็นการเฉพาะเจาะจง การที่ทายาทโดยธรรมเบิกความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกว่า เจ้ามรดกมีทรัพย์มรดกเพียงเท่าที่เบิกความถึงแต่ความจริงเจ้ามรดกมีทรัพย์มรดกมากกว่านั้น ยังไม่พอฟังว่าเป็นการปิดบังทรัพย์มรดก.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้าน และขอให้ศาลตั้งตนแต่ผู้เดียวเป็นผู้จัดการมรดก
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องคัดค้านว่าผู้ร้องปกปิดทายาทที่แท้จริง ผู้คัดค้านที่ 1 มิใช่ทายาทโดยธรรมของผู้ตายและเป็นคนต่างด้าว ขอให้ศาลตั้งผู้คัดค้านที่ 2 แต่ผู้เดียวเป็นผู้จัดการมรดก
ก่อนไต่สวน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก
ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าในระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ใดสมควรที่จะเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ พิเคราะห์แล้ว ผู้คัดค้านที่ 2 มีพยานคือนางเล้ก เสตะจันทร์ กับนางธาริณี ฉัตรมณี ซึ่งต่างเป็นบุตรเจ้ามรดกเบิกความทำนองเดียวกันว่าคัดค้านที่ 1 ดื่มสุราเมาแล้วไร้สติ เคยจะใช้มีดแทงเจ้ามรดก จึงถูกไล่ออกจากบ้าน และผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้เข้ากับพี่น้อยคนอื่น ๆ ไม่ได้นอกจากนี้ผู้คัดค้านที่ 1 เองเบิกความตอบทนายผู้คัดค้านที่ 2 ว่า ปัจจุบันผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ได้ทำงานอะไร ส่วนผู้คัดค้านที่ 2 ปรากฏว่าเป็นนายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกจบการศึกษาจากประเทศฟิลิปปินส์ และมีหนังสือเอกสารหมาย ร.ค. 12 ข้อความว่าพี่น้องคนอื่นยินยอมให้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว เอกสารฉบับดังกล่าวนี้มีบุตรของเจ้ามรดก 4 คนลงชื่อไว้ จากพยานหลักฐานดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 สมควรเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ยิ่งกว่า ศาลฎีกาเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่าเหตุการณ์เรื่องดื่มสุราเมาไร้สติเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่มีอายุยังน้อย หลังจากแต่งงานแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เลิกดื่มสุรา มีฐานะการเงินมั่นคงแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้คัดค้านมิได้นำพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนยืนยันให้เป็นเป็นความจริงตามที่กล่าวงอ้าง ผู้คัดค้านที่ 1 จึงได้ฎีกาโต้แย้งว่าผู้คัดค้านที่ 2 ได้ยื่นคำคัดค้านเพียงว่าผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดกเท่านั้น มิได้คัดค้านเกี่ยวกับความประพฤติของผู้คัดค้านที่ 1 ว่าเป็นดังกล่าวนั้น ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่ต้องนำสืบในข้อนี้ และศาลก็จะนำข้อนี้มาวินิจฉัยไม่ได้ เห็นว่าเมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านผู้ร้องและขอให้ศาลตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านที่ 1 ได้กล่าวอ้างว่าตนไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสีย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713 วรรคท้าย ในการตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์และโดยคำนึงเจตนาของเจ้ามรดกแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร ทั้งผู้คัดค้านที่ 2 ก็ได้คัดค้านแล้วว่าหากศาลอนุญาตให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกทายาททุกคนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้รับความเสียหายและเป็นไปด้วยความไม่เรียบร้อย ฉะนั้นผู้คัดค้านที่ 1 จึงต้องมีหน้าที่แสดงให้ศาลเห็นว่าตนมีความประพฤติดี เหมาะสมเป็นผู้จัดการมรดกอยู่แล้วหาจำต้องมีการคัดค้านในข้อนี้เป็นการเฉพาะเจาะจงไม่ ส่วนที่ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความประพฤติในขณะที่มีอายุน้อยปัจจุบันได้เลิกแล้วไม่ชอบที่จะนำมาพิจารณาวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ในการใช้ดุลพินิจศาลย่อมนำเหตุการณ์มาประกอบได้เสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดมาแล้วนานเพียงใด
ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฎีกาว่า ไม่สมควรตั้งผู้คัดค้านที่ 2เป็นผู้จัดการมรดกเพราะผู้คัดค้านที่ 2 สมคบกับนางเล็กผู้ร้องเพื่อจะให้ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกรายนี้นั้น เห็นว่าหาได้ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่าเป็นดังกล่าวแต่อย่างไรไม่และที่อ้างว่าผู้คัดค้านที่ 2 มีความประพฤติไม่ดีเห็นได้จากคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 2 ที่กล่าวว่าผู้คัดค้านที่ 1 มิใช่ทายาทของมรดก ทำหรือใช้เอกสารปลอม ข่อมขู่ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นคนต่างด้าว ก็ไม่เป็นเหตุผลพอเพียงที่จะไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกส่วนที่อ้างว่าผู้คัดค้านที่ 2 ปิดบังทรัพย์มรดกที่เบิกความว่าที่ดินทรัพย์มรดกมีเพียง 15 ไร่ และไม่ได้เบิกความถึงเงินค่าเช่าอีกนั้น เห็นว่ายังไม่พอฟังว่าเป็นการปิดบังทรัพย์มรดก คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share