แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยแถลงต่อพิพากษาขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทหากทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8049หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วโจทก์ยอมแพ้แต่ถ้าอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วจำเลยยอมแพ้โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไปดังนั้นเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจแผนที่พิพาทกับระวางที่ดินตามรูปโฉนดเดิมแล้วแถลงว่าไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดแน่เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดตามตกลงท้ากันและศาลจะตรวจดูแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับระวางแผนที่เสียเองก็ไม่ได้ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าได้คำท้าเป็นอันตกไปศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 เนื้อที่ 12 ไร่ 52ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับพวกอีก 3 คน เมื่อวันที่ 4ธันวาคม 2535 โจทก์กับพวกนำพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดสอบเขตปรากฏว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่ดินโจทก์บางส่วนทางด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ 2 งาน 34 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์จำเลยรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวมาจากมารดา หากที่ดินที่จำเลยครอบครองไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 มารดาจำเลยและเจ้าของเดิมก็ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าว โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อเป็นเวลากว่า 10 ปีจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันว่า หากพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทแล้ว ปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8049 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี แล้วโจทก์ยอมแพ้ แต่ถ้าหากปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีแล้วจำเลยยอมแพ้ โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานอื่น หลังจากพนักงานเจ้าหน้าที่รังวัดทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าเมื่อนำตำแหน่งของที่พิพาทตามแนวเส้นสีดำหมายสีม่วงของแผนที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่แล้วปรากฎว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี ตามแนวเส้นสีดำหมายสีม่วง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์และจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาท หากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าหรือเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8049 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี แล้วโจทก์ยอมแพ้ แต่ถ้าหากปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 ตำบลหนองขนานอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี แล้วจำเลยยอมแพ้ โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานกันต่อไป และยอมออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดทำแผนที่พิพาทกันคนละครึ่ง ต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้วปรากฏว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รังวัดทำแผนที่พิพาทได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใด เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ศาลชั้นต้นจึงเลื่อนคดีไปชี้สองสถานถึงวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นตรวจดูแผนที่พิพาทและระวางแผนที่อีกครั้งหนึ่งแล้วมีความเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงได้งดชี้สองสถานแล้วพิพากษาโดยนำตำแหน่งของที่พิพาทตามแนวเส้นสีดำหมายสีม่วงของแผนที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่แล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 8033 จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความหรือไม่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบด้วยกฎหมายแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ชอบที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เห็นว่า เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รังวัดทำแผนที่พิพาทได้ตรวจแผนที่พิพาทกับระวางที่ดินตามรูปโฉนดเดิมแล้วแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดแน่เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนดังนี้ จึงยังถือไม่ได้ว่า ปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดตามที่โจทก์และจำเลยตกลงท้ากัน ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์และจำเลยดังกล่าวข้างต้นได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้าจึงไม่ชอบ เพราะไม่ตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกัน กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าคำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป ศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการชี้สองสถานหากจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว”
พิพากษายืน