แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทขายทอดตลาดที่ดินพิพาทนำเงินที่ได้มาแบ่งปันกันตามส่วนคดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงมายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนตามคำพิพากษา คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม การที่จำเลยที่ 1 มาร้อง ในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 5 ได้ขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ จำเลยที่ 5 ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินส่วนนั้นมาจนที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1จึงขอให้ศาลไต่สวนคำฟ้องเพื่อมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 5 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 นั้นย่อมเป็นการที่จำเลยที่ 1 ตั้งประเด็นขึ้นใหม่พิพาทกับจำเลยที่ 5 และมีผลเท่ากับขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ซึ่งไม่อาจกระทำได้ เพราะมิฉะนั้นแล้วคำพิพากษาของศาลแต่ละคดีก็จะไม่เป็นที่ยุติลงได้ กรณีเช่นนี้ หากจำเลยที่ 1 เห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้อย่างไร หรือจำเลยที่ 1ถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะไป ดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นคดีใหม่ต่างหาก การที่โจทก์ขอหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทขายทอดตลาดคดีนี้ เป็นการกำหนดวิธีแบ่งทรัพย์สิน ระหว่างเจ้าของรวมเท่านั้น โจทก์ก็ดี จำเลยก็ดี หาใช่เป็น เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันและกันไม่กรณีจึงไม่ใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จำเลยที่ 1จึงไม่อาจอ้างว่าคำร้องขอตนต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้ เพราะการร้องขอตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องเป็นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด กรณีจึงไม่มีเหตุให้ต้องงดขายทอดตลาดที่ดินพิพาทและทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นำที่ดินพิพาทโฉนดตราจองที่ 351บ้านหาดสูง ตำบลไผ่ขวาง อำเภอเมืองพิจิตร (เดิมอำเภอในเมือง)จังหวัดพิจิตร (เดิมแขวงเมืองพิจิตร มณฑลพิษณุโลก) ออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาแบ่งกันตามส่วนแต่ละคน ทั้งนี้โดยให้หักค่าฤชาธรรมเนียมของทั้งสองฝ่ายจากเงินที่ขายได้นั้นก่อนค่าทนายความทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแล้ว จำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ขอหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดแล้ว
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 5 ได้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 5 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 9 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1แต่มิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ 5 ได้ส่งมอบการครอบครองแล้วจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินนั้นโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 30 ปีที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ตามกฎหมายขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์นี้ไว้ชั่วคราวก่อน แล้วทำการไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 5เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1
ผู้ร้องร้องว่า ทรัพย์ที่ถูกยึดไว้ในคดีนี้เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 (ซึ่งรวมส่วนของจำเลยที่ 5 ด้วย) และเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 4 ผู้ร้องได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 517/2532 ของศาลชั้นต้น แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลมีคำสั่งปลดเปลื้องความรับผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 ซึ่งศาลได้อนุญาตแล้วแต่ผู้ร้องไม่เห็นพ้องด้วยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าวตามสำเนาอุทธรณ์คำร้องที่ดินที่ยึดไว้ในคดีนี้และที่ผู้ร้องขอนำยึดเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและไม่เป็นการแน่นอนว่า ควรจะถูกยึดไว้ในคดีนี้ต่อไปหรือจะต้องเปลี่ยนแปลงการยึดเป็นในคดีหมายเลขแดงที่ 517/2532 เพราะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ซึ่งอาจทำให้ผลแห่งการบังคับคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ไว้เพื่อรอผลคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 เป็นคู่ความในคดีและร้องเกี่ยวข้องกับที่ดินที่จะบังคับคดีสืบเนื่องจากคู่ความในคดีเองไม่อนุญาตยกคำร้องกับมีคำสั่งให้บังคับคดีต่อไป ไม่อนุญาตตามคำขอของผู้ร้อง ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 และผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนตามให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้งดขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไว้ชั่วคราวแล้วทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1เพื่อมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาท เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 5 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 นั้นเป็นการชอบแล้วหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาใจความว่าการที่ศาลไม่ดำเนินการตามที่จำเลยที่ 1 ร้องขอนั้น เป็นการไม่ชอบเพราะหากมีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทไปแล้วจะมีปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งเงินกัน และคำร้องของจำเลยที่ 1 ก็ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 แล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนตามจึงเป็นการไม่ชอบ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นให้โจทก์และจำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทขายทอดตลาดที่ดินพิพาทนำเงินที่ได้มาแบ่งปันกันตามส่วนคดีถึงที่สุดแล้วแต่จำเลยทั้งห้าไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงมายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันตามส่วนตามคำพิพากษา คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม การที่จำเลยที่ 1มาร้องในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 5 ได้ขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 5 ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินส่วนนั้นมาจนที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลไต่สวนคำฟ้องเพื่อมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 5 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 นั้น ย่อมเป็นการที่จำเลยที่ 1 ตั้งประเด็นขึ้นใหม่พิพาทกับจำเลยที่ 5 และมีผลเท่ากับขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ซึ่งไม่อาจกระทำได้เพราะมิฉะนั้นแล้วคำพิพากษาของศาลแต่ละคดีก็จะไม่เป็นที่ยุติลงได้กรณีเช่นนี้หากจำเลยที่ 1 เห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้อย่างไรหรือจำเลยที่ 1 ถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด จำเลยที่ 1 ชอบที่จะไปดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นคดีใหม่ต่างหาก อนึ่ง ที่โจทก์ขอหมายบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทขายทอดตลาดกรณีเป็นการกำหนดวิธีแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมเท่านั้น โจทก์ก็ดีจำเลยก็ดี หาใช่เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันและกันไม่กรณีจึงไม่ใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจอ้างว่าคำร้องของตนต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาได้ เพราะการร้องขอตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องเป็นการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด กรณีจึงไม่มีเหตุให้ต้องงดขายทอดตลาดที่ดินพิพาทและทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนตามนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน