คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1548/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิตโดยโจทก์ออกบัตรให้สมาชิก แล้วสมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าบริการต่าง ๆกับเบิกเงินสดจากสถานประกอบกิจการค้าต่าง ๆ และธนาคารทั้งในและต่างประเทศ โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง การให้บริการดังกล่าวแก่สมาชิกของโจทก์ โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการและค่าธรรมเนียมรายปีโจทก์จึงเป็นผู้รับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 471,419.50 บาท พร้อมค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่มอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนและค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บเงินอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนจากต้นเงิน 321,419.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์ไม่ถึง 471,419.50 บาทและโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่ม และค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการซื้อสินค้าหรือบริการแทนจำเลย นับแต่วันที่จำเลยนำบัตรสมาชิกไปใช้ครั้งสุดท้ายวันที่ 30 มิถุนายน2535 ถึงวันฟ้องวันที่ 24 มกราคม 2538 เกินกำหนด 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 351,292.70 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 321,419.50 บาทนับแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 150,000 บาทคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการสินเชื่อแก่บุคคลทั่วไปในรูปของบัตรเครดิตชื่อว่า “บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส” โดยโจทก์ออกบัตรให้สมาชิก แล้วสมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าบริการต่าง ๆ กับเบิกเงินสดจากสถานประกอบกิจการค้าต่างๆ และธนาคารทั้งในและต่างประเทศ โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังซึ่งสมาชิกจะต้องเสียค่าบริการให้แก่โจทก์ด้วย เห็นว่า การให้บริการดังกล่าวแก่สมาชิกของโจทก์ โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการและค่าธรรมเนียมรายปี โจทก์จึงเป็นผู้รับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้รับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทอรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) มิใช่ถืออายุความ 10 ปี ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และตามเอกสารหมายจ.10 แผ่นที่ 3 ปรากฏว่าจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเป็นบางส่วนเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2535 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2538พ้นกำหนด 2 ปีแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วย่อมไม่จำเป็นที่จะวินิจฉัยปัญหาอื่นอีกเพราะไม่ได้ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share