แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ.มอบฉันทะให้จำเลยนำที่ดินพิพาทรวมสี่แปลง ไปจำหน่ายเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันระหว่างทายาท จำเลยกลับนำใบมอบฉันทะไปโอนที่ดินทั้งสี่แปลงเป็นของตน เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจที่ให้ไว้ ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่กองมรดกในนามของโจทก์ทั้งสอง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ไปทำการโอนให้จำเลยด้วยตนเองในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ. การโอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง มิใช่การโอนโดยอาศัยใบมอบฉันทะตามที่ฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมาฟังไม่ได้ตามคำฟ้องเช่นนี้ จึงไม่มีกรณีที่จะบังคับให้ตามที่โจทก์ทั้งสองขอมาในคำฟ้อง ต้องพิพากษายกฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกไม่มีพินัยกรรมของนายไพวัฒน์ ติยะวนิช ตามคำสั่งศาล และได้จัดการแบ่งปันมรดกส่วนใหญ่ให้แก่ทายาททุกคนแล้ว คงเหลือแต่ที่ดิน 4 แปลง โจทก์ทั้งสองต้องเดิมทางไปศึกษา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้ตกลงกันในระหว่างทายาทให้จำหน่ายที่ดินทั้ง 4 แปลง นำเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันโจทก์ทั้งสองได้มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งเป็นผู้จำหน่ายแทน โดยมอบใบมอบฉันทะโอนกรรมสิทธิ์พร้อมโฉนดที่ดินให้จำเลยก่อนเดินทางไปศึกษาต่อ จำเลยกลับนำใบมอบฉันทะที่โจทก์ทั้งสองลงนามไว้ไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 4 แปลง เป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้รับมรดก อันเป็นการกระทำนอกเหนือจากอำนาจที่โจทก์ทั้งสองและทายาทอื่นให้ไว้ ขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสี่แปลงคืนให้แก่กองมรดกในนามของโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ยอมคืน ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยใช้ค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนแก่โจทก์
ระหว่างพิจารณา พันตำรวจโทกฤษณ์ ศิริวรรณ สามีจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยได้ไปเสียจากภูมิลำเนาอันเป็นถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขออนุญาตต่อสู่คดีแทนจำเลยไปพลางก่อนศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วอนุญาต
พันตำรวจโทกฤษณ์ ศิริวรรณ ให้การแทนจำเลยว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยทำนิติกรรมจดทะเบียนที่ดินทั้ง 4 แปลง ให้แก่จำเลย อันเป็นการแบ่งมรดกโดยตกลงแบ่งตัวทรัพย์กันเอง มิใช่โจทก์มอบให้จำเลยขายที่ดินทั้ง 4 แปลงดังกล่าว นำเงินมาแบ่งปันให้แก่ทายาทตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดทั้งสี่แปลง ให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายไพวัฒน์ ติยะวนิช โดยให้จำเลยเป็นผู้รับผิดในค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน ถ้าจำเลยไม่คืนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของนายไพวัฒน์ มอบฉันทะให้จำเลยนำที่ดินที่พิพาทรวม 4 แปลง ไปจำหน่ายเพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันระหว่างทายาท แต่จำเลยกลับนำใบมอบฉันทะไปโอนที่ดินทั้ง 4 แปลงเป็นของตน เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจที่โจทก์ทั้งสองให้ไว้ ขอให้จำเลยโอนที่ดินทั้ง 4 แปลงคือกองมรดก แต่ข้อเท็จจริงที่ โจทก์ทั้งสองนำสืบนั้นตามหลักฐานการโอนที่ดินที่พิพาท ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ไปทำการโอนให้จำเลยด้วยตนเองในฐานะผู้จัดการมรดกนายไพวัฒน์ โดยลงลายมือชื่อที่ลงไว้ในเอกสารดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นแบบบันทึกการสอบสวนขอจดทะเบียนมรดกหรือค่าขอโอนมรดก ก็เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้ กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมานั้น การโอนที่พิพาททั้ง 4 แปลง มิใช่การโอนโดยอาศัยใบมอบฉันทะตามที่ฟ้อง เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมาฟังไม่ได้ตามที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างไว้ในคำฟ้องเช่นนี้ จึงไม่มีกรณีจะบังคับให้ตามที่โจทก์ทั้งสองขอมาในคำฟ้องได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.