คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1151/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้มอบต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงินให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความฟ้องเรียกเงินตามสัญญาดังกล่าวจาก ด. จำเลยประมาทเลินเล่อทำให้ต้นฉบับสัญญากู้ยืมสูญหายไปตกอยู่ในครอบครองของ ด. อันเป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีที่ฟ้องเรียกเงินกู้ยืมจาก ด. และทำให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นละเมิด จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยให้ฟ้องนายเดชา พุฒธะพันธ์ต่อศาลชั้นต้นเรียกให้ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมจำนวน 45,000 บาทโจทก์ได้มอบหลักฐานสัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับนายเดชา 1 ฉบับให้จำเลยไปเพื่อประกอบการดำเนินคดี จำเลยได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เอกสารสัญญากู้ยืมเงินของโจทก์สูญหายไปตกอยู่ในความครอบครองของนายเดชา ผู้กู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยไม่สามารถนำสืบเอกสารดังกล่าวประกอบคำฟ้องของโจทก์ได้ ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจากนายเดชา ตามทุนทรัพย์ในคดีดังกล่าวรวมเป็นเงิน 65,118.75 บาทโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดีและค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายความแทนนายเดชา เป็นเงิน 8,295 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์73,413.75 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ยอมใช้ให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้เงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้นตามสัญญากู้ 45,000 บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับชำระจากนายเดชา และในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากเงิน 8,295 บาท โดยทั้งสองจำนวนให้คิดนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยรับเป็นทนายความให้โจทก์ฟ้องนายเดชาเรียกเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้องจริง แต่ต้นฉบับสัญญากู้โจทก์ไม่ได้มอบให้จำเลยคงมอบสัญญากู้ให้จำเลยเท่านั้น โจทก์ว่าจะนำต้นฉบับกู้มาให้จำเลยในวันสืบพยาน เมื่อปรากฏว่าต้นฉบับสัญญากู้หายไป โจทก์ได้รับรองกับจำเลยว่าถึงแม้โจทก์จะแพ้คดี ก็จะไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้รับต้นฉบับสัญญากู้เงินจากโจทก์แล้วทำให้สูญหายไป เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 73,413.75 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์67,791.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2528 โจทก์ได้ตกลงให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความดำเนินคดีเรียกเงินยืมจากนายเดชา พุฒธะพันธ์ ตามสัญญากู้ยืม 2 ฉบับฉบับหนึ่งเงินต้น 18,000 บาท อีกฉบับหนึ่งเงินต้น 45,000 บาทโดยให้จำเลยดำเนินคดีตามสัญญากู้ยืมฉบับที่สองก่อนจำเลยได้ยื่นฟ้องนายเดชา ตามสัญญากู้ยืมฉบับที่สอง แต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้นายเดชา ไม่ได้ เพราะนายเดชา ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่นอกเขตศาลศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องและให้จำหน่ายคดี ต่อมาจำเลยได้ฟ้องนายเดชา ใหม่เรียกเงินตามสัญญากู้ยืมฉบับดังกล่าว นายเดชา ให้การต่อสู้คดีว่าได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมให้โจทก์แล้ว ในการนำสืบโจทก์ไม่มีต้นฉบับสัญญากู้ยืม และปรากฏว่าต้นฉบับสัญญาดังกล่าวอยู่ที่นายเดชา ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายเดชา ได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงคืนต้นฉบับสัญญากู้ยืมให้นายเดชาพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด คดีมีประเด็นว่า จำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้ต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงินสูญหายและตกอยู่ในครอบครองของนายเดชา หรือไม่ และวินิจฉัยว่าคดีฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงิน 45,000 บาท ให้จำเลยและจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยประมาทเลินเล่อ ทำให้ต้นฉบับสัญญากู้ยืมสูญหายไปตกอยู่ในครอบครองของนายเดชา อันเป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีที่ฟ้องเรียกเงินกู้ยืมจากนายเดชา และทำให้โจทก์เสียหายจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.

Share