คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1038/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยและผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว ผู้เสียหายเต็มใจให้จำเลยร่วมประเวณีโดยสมัครใจ หลังจากนั้นประมาณ 20 วันจำเลยสึกจากพระภิกษุ โดยจำเลยและผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภรรยาตลอดมาจนมีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง โดยจำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายด้วยประสงค์จะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในสมณเพศ แต่ต่อมาภายหลังจำเลยก็สึกจากสมณเพศโดยสมัครใจ และอยู่กินเลี้ยงดูผู้เสียหายตลอดมาจนเกิดบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,284, 318, 319, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 วรรคแรก วางโทษจำคุก 2 ปี คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้ นางสาวธิดารัตน์ บุตรอากาศ ผู้เสียหาย มีอายุประมาณ 16 ปี อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู และอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา จำเลยพาผู้เสียหายไปกรุงเทพมหานครและนอนค้างคืนที่นั่น คืนนั้นจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายโดยความยินยอมของผู้เสียหาย รุ่งขึ้นก็พากันกลับจังหวัดนครปฐม แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานพรากผู้เยาว์ดังฟ้องหรือไม่ข้อนี้ นางสาวธิดารัตน์ บุตรอากาศ ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าจำเลยและผู้เสียหายรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว ผู้เสียหายเต็มใจให้จำเลยร่วมประเวณีโดยสมัครใจ หลังจากนั้นประมาณ 20 วัน จำเลยก็ได้ทำการสึกจากพระภิกษุโดยจำเลยและผู้เสียหายตกลงจะอยู่กินกันฉันสามีภริยาตลอดไปและได้ความว่า จำเลยกับผู้เสียหายก็ได้อยู่กินกันฉันสามีภริยาตลอดมาจนมีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง โดยจำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงผู้เสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่พาผู้เสียหายไปและร่วมประเวณีกับผู้เสียหายก็ด้วยประสงค์จะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยจะยังอยู่ในสมณเพศ แต่ต่อมาภายหลังจำเลยก็สึกจากสมณเพศโดยสมัครใจ และอยู่กินเลี้ยงดูผู้เสียหายตลอดมาจนเกิดบุตรด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร…”
พิพากษายืน.

Share