คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์โต้เถียง ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196นั้น ไม่จำต้องโต้แย้งไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็มีสิทธิอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงและให้ใช้ราคาทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สืบตัวโจทก์จบคำซักถามทนายโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายในคดีส่วนอาญาและไม่เสื่อมสิทธิเรียกร้องที่มีต่อธนาคาร จึงไม่มีอำนาจฟ้องทั้งในคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่อาจรับฟังได้เป็นยุติ เช่นนี้ ชอบที่ศาลสูงจะย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขณะที่จำเลยเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาสวรรคโลก ได้ฉ้อโกงโดยหลอกลวงให้โจทก์ยินยอมให้จำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากเลขที่ 88 จำนวน300,000 บาท เพื่อชำระเป็นค่าเบี้ยประกันภัยความเสียหายของฝ้ายดอกซึ่งมีราคาประมาณ 36,800,000 บาท ที่โจทก์นำไปจำนำไว้กับธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด เพื่อเป็นประกันการกู้เงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีทั้งนี้เนื่องจากโจทก์กับธนาคารมีข้อตกลงกันว่าโจทก์จะต้องนำสินค้าที่จำนำไปประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยระบุให้ธนาคารเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยมิได้นำเงิน 300,000 บาท ของโจทก์ไปทำสัญญาและชำระเป็นค่าเบี้ยประกันภัยโดยจำเลยนำเงินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เหตุเกิดที่ตำบลเมืองสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลกจังหวัดสุโขทัย และแขวงสุริวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 และให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่เคยหลอกลวงโจทก์ โจทก์ทราบถึงการกระทำที่อ้างว่าเป็นมูลละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องรับผิดว่าคือจำเลยเกิน 1 ปีแล้วฟ้องโจทก์ในมูลละเมิดจึงขาดอายุความ นอกจากนี้โจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิด ฟ้องโจทก์ทางอาญาจึงขาดอายุความเช่นเดียวกันขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความจนจบคำถามของทนายโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพิวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยานโจทก์ที่เหลือและพยานจำเลย แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพยานโจทก์จำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีส่วนอาญาเนื่องจากอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า คำสั่งงดสืบพยานโจทก์ของศาลชั้นต้นไม่ชอบนั้น เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามสำหรับคดีนี้และคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งทั้งโจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาด้วย ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีส่วนอาญาซึ่งมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีส่วนแพ่งด้วย นั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ในฐานะตัวแทนของธนาคารที่จตำเลยเป็นผู้จัดการทั้งที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจะจัดการทำสัญญาประกันภัยและจะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์นำไปชำระเป็นค่าเบี้ยประกันโดยธนาคารไม่ทราบเรื่อง และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยคือธนาคาร แม้จำเลยมิได้นำเงินไปชำระแก่บริษัทประกันภัย โจทก์ก็มิใช่ผู้เสียหายนั้น โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ต้องสูญเสียเงินของโจทก์ไปถึง 300,000 บาท และฝ้ายของโจทก์ยังต้องเสียหายโดยไม่ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยอีกด้วยเห็นได้ว่า อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นอุทธรณ์โต้เถียงว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท้จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายและการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 196 มิได้บัญญัติว่าจะต้องโต้แย้งไว้ก่อน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ ทั้งโจทก์อุทธรณ์ด้วยว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าอุทธรณ์คำพิพากษาด้วยแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่า ตามคำฟ้อง คำให้การและพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาปรากฏข้อเท็จจริงให้ฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยมิได้กระทำผิดและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องแล้วนั้นคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงและให้ใช้ราคาทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และต่อสู้ด้วยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ความผิดและความรับผิดของจำเลย จำเลยก็มีสิทธินำสืบพยานเพื่อแสดงว่าจำเลยมิได้กระทำผิดและไม่ต้องรับผิด การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สืบตัวโจทก์จบคำซักถามทนายโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าพยานหลักฐานเพียงพอสำหรับคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่ง และพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายในคดีส่วนอาญาและไม่เสื่อมสิทธิเรียกร้องที่มีต่อธนาคาร จึงไม่มีอำนาจฟ้องทั้งในคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่อาจรับฟังได้เป็นยุติ…”
พิพากษายืน.

Share