แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะมีชื่อเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์พิพาท แต่ทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้น ผู้ร้องขัดทรัพย์มีภาระในการนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินให้โจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 81 – 2630 เลย
ผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปล่อยรถยนต์ที่ยึดไว้
โจทก์ให้การขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ว่า โจทก์หรือผู้ร้องขัดทรัพย์มีภาระการพิสูจน์ เห็นว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ทำมาหาได้ร่วมกับจำเลย ซึ่งผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว จึงขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดอันเป็นคดีร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องขัดทรัพย์จึงมีฐานะเป็นโจทก์ในชั้นร้องขัดทรัพย์ และโจทก์เดิมมีฐานะเป็นผู้คัดค้านแม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะมีชื่อเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์พิพาทแต่ทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้น แต่โจทก์ให้การว่า รถยนต์พิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ทำมาหาได้ร่วมกันในขณะที่อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลย เพื่อประกอบธุรกิจขนดินและหินขายและรับเหมา เพียงแต่จำเลยได้ใส่ชื่อผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์พิพาทแทนเอาไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยอ้างว่ามีหนี้สินเกรงว่าจะมีปัญหาหากถูกฟ้องคดี เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นที่ยุติว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์หรือของโจทก์ร่วมกับจำเลย ผู้ร้องขัดทรัพย์จึงต้องมีภาระในการนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่ารถยนต์พิพาทเป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ ฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า รถยนต์พิพาทเป็นทรัพย์สินของผู้ร้องขัดทรัพย์หรือไม่ ซึ่งผู้ร้องขัดทรัพย์คงมีเพียงนายไพบูลย์ ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องขัดทรัพย์เบิกความว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทโดยใช้เงินที่ได้จากการขายที่นาเพื่อนำไปใช้ในธุรกิจของผู้ร้องขัดทรัพย์ โดยจำเลยมิได้เกี่ยวข้องกับรถยนต์พิพาท ผู้ร้องขัดทรัพย์นำสืบอ้างว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์นำรถยนต์พิพาทมาใช้ในทางเกษตรและรับจ้างทั่วไป โดยให้นายวิรัตน์ น้องชายของจำเลยเป็นผู้ดำเนินการแทน โจทก์นำสืบว่า ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยมาตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปี 2554 โดยจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2546 มีบุตรด้วยกัน 1 คน ปัจจุบันอายุ 12 ปี เมื่อปี 2549 จำเลยซื้อรถแบ็คโฮ 1 คัน รถสิบล้อ 2 คัน และรถไถนา 1 คัน โดยจำเลยใช้รถที่ซื้อมารับจ้างถมดินและขุดคลอง โดยโจทก์ดูแลงานบ้านและคนงาน มีนายวิรัตน์ น้องชายของจำเลยมาช่วยงานและปี 2553 นายคำจันทร์ พี่ชายของจำเลยก็มาช่วยงานด้วย จำเลยใช้เงินที่ได้จากการรับจ้างขุดถมดินไปซื้อรถยนต์พิพาทร่วมกับนายวิรัตน์ โดยนำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของผู้ร้องไปจดทะเบียนในการซื้อรถยนต์พิพาทแทน ซึ่งขณะนั้นผู้ร้องขัดทรัพย์อายุ 80 ปี แล้ว ไม่ได้ร่วมไปซื้อรถยนต์พิพาทด้วยโดยอยู่กับโจทก์ที่บ้าน เงินที่นำไปซื้อรถยนต์พิพาทเป็นเงินที่จำเลยทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์ เห็นว่า ผู้ร้องขัดทรัพย์นำสืบกล่าวอ้างแบบลอย ๆ ว่าเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทในราคาประมาณ 700,000 บาท และนำสืบว่านำมาใช้ทำงาน และนำรถยนต์พิพาทรับจ้างทั่วไป ไม่ระบุให้ชัดเจนว่า ซื้อรถยนต์พิพาทจากผู้ใด ในราคาเท่าใดและนำรถยนต์ไปใช้ทำอะไรบ้าง ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าให้นายวิรัตน์เป็นผู้ดำเนินการแทน แต่ก็ไม่นำนายวิรัตน์ ซึ่งเป็นน้องชายจำเลยและเป็นบุตรของผู้ร้องขัดทรัพย์มาเบิกความ โดยอ้างว่านายวิรัตน์เป็นผู้ควบคุมการทำงานที่หน้างานไม่สามารถนำมาเบิกความเป็นพยานได้ เพราะจะทำให้งานหยุดชะงัก ข้ออ้างดังกล่าวของผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องขัดทรัพย์จึงฟังไม่ขึ้น โจทก์นำสืบว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทและจำเลยยังซื้อรถแบ็คโฮ 1 คัน รถบรรทุก 10 ล้อ 2 คัน และรถไถนา 1 คัน จำเลยนำรถที่ซื้อมาไปทำงานรับจ้างถมดิน ขุดคลองมีนายวิรัตน์น้องชายและนายคำจันทร์พี่ชายของจำเลยมาร่วมทำงานกับจำเลย โจทก์เป็นคนเก็บรวมรวมบิลเงินเชื่อค่าน้ำมันรถ ระบุชื่อจำเลยในฐานะเป็นคนชำระเงิน โดยนายคำจันทร์เป็นผู้ขับรถไปเติมน้ำมัน จึงมีลายมือชื่อนายคำจันทร์เป็นผู้รับของ เห็นว่า นายคำจันทร์ นายวิรัตน์ เป็นพี่ชาย น้องชายจำเลยและเป็นบุตรของผู้ร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องขัดทรัพย์สามารถอ้างเป็นพยานผู้ร้องขัดทรัพย์ และสามารถนำตัวมาเบิกความได้สะดวก แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ก็ไม่นำมาเบิกความ พยานหลักฐานของผู้ร้องขัดทรัพย์จึงมีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือพยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังได้ว่า เงินที่นำไปซื้อรถยนต์พิพาท เป็นเงินที่จำเลยทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์ และนำรถยนต์พิพาทไปใช้ในกิจการของจำเลยตามที่โจทก์เบิกความ พยานหลักฐานของผู้ร้องขัดทรัพย์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาทที่แท้จริง ผู้ร้องขัดทรัพย์ย่อมไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยรถยนต์พิพาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกคำร้องขอมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ