แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การร้องขอถอนผู้จัดการมรดกก่อนปันมรดกเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 เป็นเรื่องอำนาจฟ้องหรืออำนาจยื่นคำร้องอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐเป็นเจ้าของหรือผู้ปกปักรักษาตามกฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลและกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 15 มีนาคม 2463 ออกตามความใน พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 123 เป็นกุศลสถานสำหรับมหาชนแม้ผู้ตายจะเป็นผู้ดูแลขณะมีชีวิต ก็หาทำให้ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วตลอดทั้งทรัพย์สินและผลประโยชน์ของศาลจ้าวนั้นเป็นมรดกของผู้ตายอันจะตกแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง ที่ผู้ตายจะกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินในพินัยกรรมได้ แม้จะกำหนดไว้ในพินัยกรรมก็ไม่มีผลบังคับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1646
ผู้ตายเป็นผู้จัดการปกครองดูแลศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎเสนาบดีฯ ข้างต้น ซึ่งเป็นการประกอบกิจการอาชีพอันเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ ย่อมไม่เป็นมรดกของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 อันจะตกแก่ทายาทตาม มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง
ตามพินัยกรรมที่ผู้ตายทำเมื่อไม่มีทรัพย์สินที่ตามพินัยกรรมที่จะปันแก่ทายาท และทรัพย์สินนอกพินัยกรรมของผู้ตายก็ไม่มีแล้ว การจัดการมรดกของผู้ตายโดยผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกย่อมเสร็จสิ้น ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1727 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของนางอุ่นใจ ผู้ตาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกแทน
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอของผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ลายมือชื่อผู้เขียนและพยานในพินัยกรรมปลอมตกเป็นโมฆะจึงมีคำสั่งถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแทน ให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอแล้ว พิพากษากลับให้ยกคำร้องขอของผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้ โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางอุ่นใจ ผู้ตาย ซึ่งเกิดจากนายชวน ตามเอกสารรายการเกี่ยวกับบ้าน สำเนาสูติบัตร และสำเนาหนังสือสำคัญเปลี่ยนชื่อสกุลของผู้ตาย อาคารเลขที่ 66 ถนนพระราม 4 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นของวัดไตรมิตรวิทยาราม มีศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วตั้งอยู่ เพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธามากราบไหว้ โดยผู้ตายเป็นผู้เช่าอาคารเลขที่ 66 จากวัดไตรมิตรวิทยารามเพื่ออยู่อาศัย ตามสำเนาแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร ผู้ตายเป็นผู้จัดการปกครองดูแลศาลจ้าว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544 ผู้ตายจดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 16650 ตำบลประชาธิปัตย์ (รังสิตเหนือ) อำเภอธัญบุรี (กลางเมือง) จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) พร้อมอาคารซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ตายแก่ผู้คัดค้านโดยเสน่หา ตามสำเนาโฉนดที่ดินและหนังสือให้ที่ดิน วันที่ 22 พฤษภาคม 2548 ผู้ตายถึงแก่ความตาย ตามสำเนามรณบัตร และแบบรับรองรายการทะเบียนคนตาย วันที่ 13 มกราคม 2553 นายเกตุ ได้ทำสัญญาเช่าอาคารเลขที่ 66 จากวัดไตรมิตรวิทยาราม ตามสำเนาสัญญาเช่าอาคาร ใบเสร็จรับเงินและใบสำคัญการรับเงินประจำปี 2556 และปี 2557 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยอ้างว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 18 มีนาคม 2541 ไว้ ซึ่งตรงกับพินัยกรรม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ตามคำสั่งศาลชั้นต้นในสำนวนคดีนี้ อนึ่ง เมื่อปี 2550, 2551, 2554, 2556 และ 2557 ผู้คัดค้านเคยขออนุญาตจัดให้มีการแสดงมหรสพงิ้วโรง เนื่องในงานเทศกาลไหว้ศาลจ้าว ตามคำสั่งอนุญาตของเจ้าพนักงานตำรวจ
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของผู้คัดค้านมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ยกประเด็นเรื่องการปันมรดกของผู้ตายเสร็จสิ้นแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคหนึ่ง มาเป็นเหตุยกคำร้องขอของผู้คัดค้านเป็นการชอบหรือไม่ และประเด็นดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือไม่ เห็นว่า มาตรา 1727 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะร้องขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกเพราะเหตุ… ก็ได้ แต่ต้องร้องขอเสียก่อนที่การปันมรดกเสร็จสิ้นลง” บทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องหรืออำนาจยื่นคำร้องขอ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้หยิบยกขึ้นเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมหยิบยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) เมื่อตามคำร้องขอของผู้คัดค้านกล่าวอ้างครั้งแรกก่อนขอแก้ไขคำร้องว่า การปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้น อันเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าการปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ากล่าวโดยชอบในศาลชั้นต้นอันนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์หยิบประเด็นเรื่องการปันทรัพย์มรดกเสร็จสิ้นแล้วมาเป็นเหตุยกคำร้องขอของผู้คัดค้านว่าไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอ จึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สองตามฎีกาของผู้คัดค้านมีว่า การปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเสร็จสิ้นแล้วเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านไม่มีอำนาจร้องขอให้ถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ เห็นว่า แม้หากจะฟังว่าพินัยกรรมไม่ตกเป็นโมฆะ แต่ตามพินัยกรรมมีข้อกำหนดในพินัยกรรมรวม 5 ข้อ โดยข้อ 1 ถึงข้อ 4 เป็นเรื่องกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สิน ข้อ 5 กำหนดให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ในส่วนศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วและการจัดกิจการศาลจ้าวที่พินัยกรรมกำหนดให้ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการกิจการศาลจ้าวต่อไปรวมทั้งดำเนินการเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้รับบริจาคตามพินัยกรรม ข้อ 4. นั้น ผู้คัดค้านฎีกาว่า ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊ว รวมทั้งทรัพย์สินในกิจการของศาลจ้าวเป็นมรดกของผู้ตายที่ไม่ได้ระบุในพินัยกรรมจึงเป็นมรดกของผู้ตายที่ตกแก่ผู้คัดค้านที่เป็นทายาทโดยธรรมแต่ผู้เดียวและผู้ร้องได้ฟ้องผู้คัดค้านกับนายเกตุต่อศาลชั้นต้นขอให้ขับไล่ผู้คัดค้านและนายเกตุออกจากศาลจ้าว ห้ามผู้คัดค้านและนายเกตุยุ่งเกี่ยวกับกิจการของศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊ว กับให้ส่งมอบทรัพย์สินของศาลจ้าวที่อยู่ในความครอบครองของผู้คัดค้านและนายเกตุให้แก่ผู้ร้องทั้งหมด ตามหมายเรียกคดีแพ่งสามัญและสำเนาคำฟ้องของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้จำหน่ายคดีชั่วคราวเพื่อรอผลคำพิพากษาคดีนี้ ตามสำเนารายงานกระบวนพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ พ.281/2557 หมายเลขคดีแดงที่ พ.635/2557 ของศาลชั้นต้นลงวันที่ 21 เมษายน 2557 ที่แนบท้ายฎีกา (ซึ่งผู้ร้องไม่ได้แก้ฎีกาโต้แย้ง) การปันทรัพย์มรดกยังไม่เสร็จสิ้น จึงมีปัญหาว่า ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วและทรัพย์สินภายในศาลจ้าวกับกิจการศาลจ้าวรวมทั้งผลประโยชน์และรายจ่ายของศาลจ้าวเป็นมรดกของผู้ตายหรือไม่ ซึ่งศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวน เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 123 บัญญัติว่า “ที่วัดหรือกุศลสถานอย่างอื่นซึ่งเป็นของกลางสำหรับมหาชนก็ให้อยู่ในหน้าที่กรมการอำเภอจะต้องตรวจตราอุดหนุนผู้ปกปักรักษา อย่าให้ผู้ใดรุกล้ำเบียดเบียนที่อันนั้น” ซึ่งกฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลและกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยกุศลสถานชนิดศาลจ้าว ลงวันที่ 15 มีนาคม 2463 ออกตามความในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 123 ว่า ศาลจ้าวซึ่งเป็นสถานที่เคารพและกระทำพิธีกรรมตามลัทธิของประชาชนบางจำพวกในกรุงสยามนับว่าเป็นกุศลสถานสำหรับประชาชนประเภทหนึ่ง โดยใช้กฎดังกล่าวเฉพาะศาลจ้าวที่ตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ปกปักษ์รักษาเท่านั้นตามกฎข้อ 1. เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วเป็นสถานที่เคารพสักการะและทำพิธีกรรมของประชน (โดยเฉพาะชาวจีนรอบบริเวณศาลจ้าว) และตั้งอยู่ในอาคารเลขที่ 66 ของวัดไตรมิตรวิทยารามที่ปลูกอยู่บนที่ดินของวัดอันเป็นธรณีสงฆ์ ศาลจ้าวนั้นจึงตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของ กรณีต้องด้วยบทกฎหมายและกฏเสนาบดีข้างต้น ศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วจึงเป็นกุศลสถานสำหรับมหาชนหาใช่มรดกของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 อันจะตกแก่ทายาทตามมาตรา 1599 วรรคหนึ่งไม่ นอกจากนี้ กฎข้อ 2 ฆ คำว่า ผลประโยชน์นั้น หมายความว่า ทรัพย์สมบัติรายได้อันพึงบังเกิดแก่ศาลจ้าวนั้น และหมายความตลอดถึงรายจ่ายด้วย ดังนั้น ทรัพย์สินและผลประโยชน์รวมทั้งรายจ่ายเกี่ยวกับศาลจ้าวจึงเป็นของศาลจ้าวหาใช่เป็นทรัพย์สินของผู้ตาย อันจะเป็นมรดกตกได้แก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าว แม้ผู้ตายจะกำหนดการเผื่อตายเกี่ยวกับทรัพย์สินไว้ก็ไม่มีผลบังคับเป็นพินัยกรรม ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 ส่วนการจัดกิจการศาลจ้าว กฎข้อ 11. กำหนดให้มีผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตรา ข้อ 12. กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราไว้ ซึ่งจะต้องมีใบอนุญาตตามหลักเกณฑ์ ข้อ 13. แม้ผู้ตายจะเป็นผู้จัดการปกครองดูแลศาลจ้าวขณะมีชีวิตก็เป็นการประกอบกิจการงานอาชีพอันเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ เนื่องจากจะต้องมีคุณสมบัติและมีใบอนุญาตตามกฎเสนาบดีข้างต้น การเป็นผู้จัดการศาลจ้าวของผู้ตายย่อมไม่เป็นมรดกของผู้ตายตามมาตรา 1600 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันจะตกได้แก่ทายาท ตามมาตรา 1599 วรรคหนึ่ง เช่นกัน แม้ผู้ตายจะกำหนดให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการศาลจ้าวก็ไม่มีผลบังคับ เมื่อพินัยกรรมตามข้อ 1 ถึงข้อ 4 ไม่มีผลบังคับ ดังวินิจฉัยข้างต้น จึงไม่มีทรัพย์สินตามพินัยกรรมที่จะปันแก่ทายาท แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลซึ่งมีอำนาจจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตายที่ไม่ระบุไว้ในพินัยกรรมด้วยก็ตาม แต่ได้ความตามคำร้องขอของผู้คัดค้านว่า ทรัพย์สินนอกพินัยกรรมจัดการเสร็จสิ้นแล้ว เช่นนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการปันทรัพย์มรดกของผู้ตายเสร็จสิ้นแล้วก่อนที่ผู้คัดค้านจะยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ถอนผู้ร้องจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคหนึ่ง การที่ผู้ร้องฟ้องผู้คัดค้านกับนายเกตุและศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวตามคดีหมายเลขดำที่ พ.281/2557 หมายเลขแดงที่ พ.635/2557 เป็นเรื่องการโต้เถียงอำนาจการจัดการศาลจ้าวใต้เซียฮุดโจ๊วซึ่งไม่ใช่การจัดการมรดกของผู้ตาย ที่จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ปันทรัพย์มรดกของผู้ตายไม่เสร็จสิ้นหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาประการที่สองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้คัดค้านประการนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ