แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดกรณีพิพาท ว.ดำรงตำแหน่งอธิบดีโจทก์ว. จึงเป็นผู้แทนที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เมื่อนับระยะเวลาที่ ว.ในฐานะผู้แทนโจทก์ได้รู้ถึงเหตุที่จะขอเพิกถอนการโอนถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังไม่เกินกำหนด 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความการที่เจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ของโจทก์ทราบเรื่องที่จะขอให้เพิกถอนการโอนแต่เจ้าหน้าที่ของโจทก์ในระดับต่าง ๆ ดังกล่าวมิใช่ผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิเรียกร้องดังกล่าวด้วยไม่ได้ จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากประทานบัตรที่พิพาทในอันที่จะนำมาชำระหนี้โจทก์ได้ ช. รับโอน ประทานบัตรที่พิพาทโดยรู้ถึงความจริงดังกล่าว กรณีจึงเป็นการรับโอนโดยรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบถือไม่ได้ว่าเป็นการรับโอนโดยสุจริต และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทของ ช. รับโอนประทานบัตรที่พิพาทมาในฐานะที่เป็นมรดกจำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิดีไปกว่า ช. ซึ่งเป็นเจ้ามรดกเมื่อนิติกรรมการได้ประทานบัตรที่พิพาทของ ช. เป็นอันจะต้องถูกเพิกถอนเนื่องจากผลแห่งการกระทำของ ช. เอง จำเลยที่ 3ในฐานะทายาทจึงไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกได้แต่กลับมีหน้าที่ในฐานะทายาทที่จะต้องโอนประทานบัตรที่พิพาทกลับคืนตามหน้าที่ที่ ช. เจ้ามรดกมีอยู่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร จำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพค้าขาย ให้เช่าทรัพย์สินและทำเหมืองแร่โดยได้รับประทานบัตรที่ 8572/8222 เหมืองแร่ดีบุกและวุลแฟรม อยู่ที่ตำบลฉลอง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช นายชนะใจห้าว เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นภริยาของนายชนะ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่โจทก์ตามกฎหมายระหว่างปี พ.ศ. 2514 ถึง 2516 จำเลยที่ 1 ค้างชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 672,247.79 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอโอนประทานบัตรดังกล่าวให้นายชนะ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอนุญาตให้โอนประทานบัตรตามที่ขอ และต่อมานายชนะถึงแก่กรรม จำเลยที่ 3 ในฐานะทายาทโดยธรรม และผู้จัดการมรดกของนายชนะผู้ตาย รับโอนประทานบัตรดังกล่าวโดยการตกทอดทางมรดก เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากผลประโยชน์ที่จะได้จากประทานบัตรดังกล่าวที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นการสมคบกันทำนิติกรรมขึ้น โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นการทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนประทานบัตรดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายชนะ และเพิกถอนการโอนประทานบัตรดังกล่าวของนายชนะ โดยการตกทอดทางมรดกให้แก่จำเลยที่ 3 ให้จำเลยร่วมกันดำเนินการโอนประทานบัตรดังกล่าวคืนแก่จำเลยที่ 1 ตามสถานะเดิมหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยเพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดนครศรีธรรมราชดำเนินการต่อไป
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับผลประโยชน์จากการทำเหมือง จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คดีโจทก์ขาดอายุความที่จะฟ้องเรียกเงินค่าภาษีไปแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะเรียกร้องค่าภาษีจากจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิและอำนาจที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรม ประกอบทั้งฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ระบุให้ชัดแจ้งว่า ค้างภาษีปีไหน จำนวนเท่าใด ยากที่จำเลยที่ 1จะต่อสู้คดีได้ จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะชำระค่าภาษีที่ชอบและถูกต้องตามกฎหมายเมื่อกรมทรัพยากรธรณีหรือกระทรวงอุตสาหกรรมโอนประทานบัตรดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้โอนประทานบัตรให้นายชนะ โดยเสน่หา มีเจตนาฉ้อฉลเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ แต่โอนให้โดยมีค่าตอบแทน 200,000 บาท นายชนะได้รับโอนมาโดยไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าภาษี จำเลยที่ 3 ได้รับโอนประทานบัตรมาในฐานะทายาทผู้รับมรดกร่วมกับทายาทอื่นของนายชนะ จำเลยที่ 1 โอนขายประทานบัตรให้นายชนะเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2520 โจทก์ได้ทราบการโอนนี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2524 โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีแล้ว จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนประทานบัตรที่8572/8222 เหมืองแร่ดีบุกและวุลแฟรม ตำบลฉลอง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายชนะ และเพิกถอนการโอนประทานบัตรดังกล่าวของนายชนะโดยการตกทอดทางมรดกให้แก่จำเลยที่ 3ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการโอนประทานบัตรดังกล่าวให้กลับคืนแก่จำเลยที่ 1 ตามสถานะเดิม หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาเพื่อให้เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรณีจังหวัดนครศรีธรรมราชดำเนินการต่อไป
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ นายชนะผู้ตายรับโอนประทานบัตรเหมืองแร่จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตหรือไม่ และจำเลยที่ 3 ต้องถูกเพิกถอนการโอนด้วยหรือไม่
ในปัญหาแรกนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายวิทย์ตันตยกุล ว่า ขณะที่มีกรณีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายวิทย์เป็นอธิบดีกรมสรรพากรโจทก์ นายวิทย์ในฐานะอธิบดีได้ทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 โอนประทานบัตรเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2526 ข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของนายวิทย์ดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นและนายวิทย์ก็เบิกความไปตามหน้าที่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังที่นายวิทย์เบิกความ ในเมื่อนายวิทย์เป็นอธิบดีกรมโจทก์ ในขณะที่เกิดกรณีพิพาทนายวิทย์จึงเป็นผู้แทนที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ เมื่อผู้แทนของโจทก์ได้รู้ถึงเหตุที่จะขอเพิกถอนการโอนในวันที่ 20มิถุนายน 2526 การนับระยะเวลาที่จะใช้สิทธิเรียกร้องขอให้เพิกถอนการโอนจึงต้องนับแต่วันดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 อ้างมาในฎีกาว่าเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ของโจทก์ได้ทราบเรื่องที่จะขอให้เพิกถอนการโอนเกินกำหนด 1 ปี แล้วนั้น เจ้าหน้าที่ของโจทก์ในระดับต่าง ๆ ดังกล่าว มิใช่ผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ จึงยังถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิเรียกร้องดังกล่าวด้วยไม่ได้ โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2526 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ 1 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา240 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่สองนั้น ในเมื่อข้อเท็จจริงยุติว่า นายชนะผู้รับโอนเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรที่พิพาทนี้ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่าเมื่อสามีของจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมประมาณ 15-16 ปี ก่อนปี 2528จำเลยที่ 1 ได้โอนประทานบัตรมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 หลังจากโอนมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้นายชนะเป็นผู้ดำเนินการแทบทั้งหมด โดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบเรื่องในรายละเอียดเลย และปรากฏตามหลักฐานในการติดต่อกับทรัพยากรธรณีจังหวัดนครศรีธรรมราช ตามหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 1 ฉบับลงวันที่ 15 เมษายน2513 และฉบับลงวันที่ 15 มีนาคม 2519 ก็ระบุว่านายชนะเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ในการดำเนินการเกี่ยวกับประทานบัตรที่พิพาทซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้นั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงฟังได้ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 และกรณีที่เป็นเหตุให้มีหนี้ภาษีอากรค้างชำระของจำเลยที่ 1 ตามที่เจ้าพนักงานได้แจ้งประเมินไปนั้นปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.2 ว่า ที่มาของรายได้เกิดจากการประกอบกิจการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรที่พิพาทเป็นหลักดังนั้นการที่นายชระในฐานะที่เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ดำเนินการในการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรที่พิพาทแทนจำเลยที่ 1ตลอดมาเช่นนี้ นายชนะเองจะต้องเป็นผู้ที่รู้ดีแต่ผู้เดียวว่ามีรายได้จากการประกอบการนั้นเท่าใดและจะต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเท่าใด การที่จำเลยที่ 1 ชำระภาษีในบางปีไม่ครบถ้วนและบางปีไม่ชำระภาษีเลยนั้น นายชนะในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการแทนจะต้องทราบ และนายชนะเองก็ย่อมจะต้องรู้ดีว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินอื่นพอที่จะชำระหนี้ภาษีอากรหรือไม่ ในเมื่อข้อเท็จจริง ยุติว่าจำเลยที่ 1ไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากประทานบัตรที่พิพาทในอันที่จะนำมาชำระหนี้โจทก์ได้ การที่นายชนะรับโอนประทานบัตรที่พิพาทมาโดยรู้ถึงความจริงดังกล่าวนั้น นับได้ว่าเป็นการรับโอนรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับโอนโดยสุจริต ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาของจำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3ให้การรวมกันมาว่านายชนะรับโอนมาโดยไม่รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้ภาษีอากรอยู่ จึงถือว่าจำเลยที่ 3 ได้ต่อสู้ในเรื่องรับโอนโดยสุจริตหรือไม่แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาของจำเลยที่ 3 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวในเมื่อได้วินิจฉัยในปัญหาข้อ 2 แล้วว่า นายชนะรับโอนมาโดยไม่สุจริตจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทของนายชนะรับโอนประทานบัตรที่พิพาทมาในฐานะที่เป็นมรดก จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิดีกว่านายชนะซึ่งเป็นเจ้ามรดก ในเมื่อนิติกรรมการได้ทรัพย์มรดกรายนี้ของนายชนะเจ้ามรดกเป็นอันจะต้องถูกเพิกถอนเนื่องจากผลแห่งการกระทำของนายชนะเอง จำเลยที่ 3 ที่รับโอนมาในฐานะทายาทจึงไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกได้ แต่กลับมีหน้าที่ในฐานะทายาทที่จะต้องโอนกลับคืนไปตามหน้าที่ที่นายชนะเจ้ามรดกมีอยู่…”
พิพากษายืน.