คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6223/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ครั้งแรกที่จำเลยยืมเงินโจทก์ โจทก์ได้ไปเปิดบัญชีให้จำเลยเพื่อให้จำเลยออกเช็คมาใช้เงินแก่โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยได้นำเงินสดมาชำระแก่โจทก์ การยืมเงินครั้งที่สองครั้งที่สามจำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ไว้ครั้งละ 1 ฉบับ ก็เพื่อเป็นประกันว่าจำเลยจะไม่โกงเงินที่จำเลยยืมไปแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ออกเช็คทั้งสามฉบับดังกล่าวมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินที่จำเลยยืมไปจากโจทก์เท่านั้น เช็คพิพาท 2 ฉบับเป็นเช็คที่จำเลยมอบให้โจทก์ในการยืมเงินครั้งที่ 4 และครั้งที่ 5 เพื่อประกันเงินจำนวนที่จำเลยยืมไปเช่นเดียวกับเช็คฉบับก่อน ๆ โดยโจทก์จำเลยไม่มีเจตนาจะให้ใช้เช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันโดยจำเลยลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาตาคลีจำนวน 2 ฉบับ นำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์เมื่อโจทก์ได้นำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ3 เดือน รวมสองกระทงจำคุกจำเลย 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยได้ออกเช็คพิพาท 2 ฉบับมอบให้โจทก์ไว้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยจะมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์เบิกความว่า จำเลยขอยืมเงินโจทก์ครั้งแรกจำนวน 27,000 บาท โดยโจทก์จ่ายเช็คของโจทก์ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตาคลี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2525จำเลยจะนำเช็คของโจทก์ไปเปิดบัญชีที่ธนาคารไหนไม่ทราบ เงินจำนวน27,000 บาทนั้น จำเลยนำมาชำระให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยเคยยืมเงินโจทก์ทั้งหมด 5 ครั้ง รวมทั้ง 2 ครั้งในคดีนี้ ส่วน 2 ครั้งก่อนคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ศาลแขวงนครสวรรค์ และปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลแขวงนครสวรรค์ซึ่งจำเลยอ้างสำนวนคดีดังกล่าวมาเป็นพยานว่าเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2525จำเลยเคยยืมเงินจากโจทก์จำนวน 27,000 บาท โจทก์ได้ไปเปิดบัญชีให้จำเลยที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาตาคลี เพื่อให้จำเลยออกเช็คมาใช้เงินแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยได้นำเงินสดมาชำระแก่โจทก์แล้ว หลังจากนั้นจำเลยยืมเงินจากโจทก์อีก 4 ครั้ง และออกเช็คมอบให้โจทก์ไว้จำนวน 4 ฉบับ เช็ค 2 ฉบับที่โจทก์นำไปฟ้องที่ศาลแขวงนครสวรรค์จำเลยออกให้โจทก์เพื่อค้ำประกันว่าจำเลยจะไม่โกงโจทก์ ส่วนเช็คอีก 2 ฉบับได้แก่เช็คพิพาทคดีนี้ เห็นว่าพฤติการณ์ของโจทก์จำเลยที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งแรกที่จำเลยยืมเงินโจทก์ และโจทก์ได้ไปเปิดบัญชีให้จำเลยเพื่อให้จำเลยออกเช็คมาใช้เงินแก่โจทก์ หลังจากนั้นจำเลยได้นำเงินสดมาชำระแก่โจทก์ตลอดจนการยืมเงินครั้งที่สองและครั้งที่สามที่จำเลยได้ออกเช็คมอบให้โจทก์ไว้ครั้งละ 1 ฉบับ รวม 2 ครั้ง 2 ฉบับ ที่โจทก์นำไปฟ้องที่ศาลแขวงนครสวรรค์เพื่อเป็นประกันว่าจำเลยจะไม่โกงเงินที่จำเลยยืมไป ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้ออกเช็คทั้งสามฉบับดังกล่าวมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินจำนวนที่จำเลยยืมไปจากโจทก์เท่านั้นส่วนเช็คพิพาท 2 ฉบับ ซึ่งเป็นเช็คที่จำเลยมอบให้โจทก์ในการยืมเงินครั้งที่ 4 และครั้งที่ 5 นั้น แม้โจทก์เบิกความว่าเป็นเช็คที่จำเลยนำมาแลกเงินสด ไม่ใช่เช็คค้ำประกันเงินกู้แต่คำเบิกความของโจทก์ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อเพราะขัดแย้งกับพฤติการณ์ของโจทก์จำเลยที่ปฏิบัติกันมาในการออกเช็คฉบับก่อน ๆดังกล่าว อนึ่ง เมื่อได้พิจารณาตัวเลขวันเดือนปีที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 แล้วพบว่า เลข 11 ของเดือน แตกต่างจากเลข 11 ซึ่งเป็นลายมือเขียนของจำเลยในช่องวันที่ ทั้งช่องไฟสำหรับเขียนตัวเลขเดือนในเช็คพิพาท 2 ฉบับก็ถูกบีบจนแคบผิดปกติ อันเป็นการเจือสมกับข้อนำสืบของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้เขียนตัวเลขเดือนที่สั่งจ่ายลงในเช็คพิพาท 2 ฉบับ ตามคำแนะนำของโจทก์ แต่โจทก์มาเติมลงภายหลัง ข้อนำสืบของจำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาท 2 ฉบับมอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเงินจำนวนที่จำเลยยืมไปเช่นเดียวกับเช็คฉบับก่อน ๆโดยโจทก์จำเลยหามีเจตนาจะให้ใช้เช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้กันไม่จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share