คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนี้เงินกู้ตามสัญญาที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์กำหนดระยะเวลาชำระคืนและมีข้อสัญญาว่าทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดคืนก่อนกำหนด การที่ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญากู้และทวงถามให้ชำระหนี้ รวม 2 ครั้งโดยส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 และมีผู้รับไว้แทนจึงเป็นการส่งโดยชอบ สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันเลิกกันหนี้ของโจทก์จึงถึงกำหนดชำระแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จึงตก เป็นผู้ผิดนัด การที่จำเลยทั้งสองมีหนี้ที่ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ รวมจำนวนถึง 637,431.30 บาท จำเลยที่ 1 เบิกความว่ามีอาชีพทำตะเกียบ ส่งประเทศไต้หวันตลอดจนมีทรัพย์สินหลายรายการและกำไรที่จะได้รับจากอาชีพที่ทำอยู่เกินกว่าที่เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2เบิกความว่ามีแผงลอย 2 แผงสำหรับขายของที่ตลาดถ้า โอนไปจะได้เงินประมาณ 150,000 บาท แต่เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของจำเลยลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนให้เชื่อ ว่าเป็นความจริง คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจากโจทก์สาขาบางนา เป็นเงิน 465,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 18.5 ต่อปีกำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาท ทุกเดือนครบกำหนดชำระหนี้คืนโจทก์ทั้งหมดภายในวันที่ 12 เมษายน 2531 แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้ทั้งหมดคืนแก่โจทก์ก่อนกำหนดเวลาดังกล่าวตามแต่โจทก์จะเห็นสมควร ในการทำสัญญากู้ดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ โดยยินยอมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม นับแต่จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินไปจากโจทก์ ได้ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เพียงครั้งเดียวยังคงค้างชำระเงินต้นแก่โจทก์ 465,000 บาท และได้ค้างชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2528 ตลอดมาจนบัดนี้ โจทก์จึงได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 สองครั้ง แต่ละครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือทวงถามทั้งสองครั้งแล้ว ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่สามารถส่งหนังสือทวงถามได้ โจทก์คัดค้านสำเนาทะเบียนบ้านจึงทราบจากหลักฐานทางทะเบียนว่า จำเลยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่ที่แห่งอื่น แต่เมื่อตามไปคัดสำเนาทะเบียนบ้านที่จำเลยที่ 2 แจ้งย้ายไปอาศัยอยู่ ปรากฏว่าไม่มีชื่อจำเลยที่ 2 ในบ้านดังกล่าว หนี้ที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแก่โจทก์จนถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น637,431.30 บาท เป็นหนี้มีจำนวนแน่นอน และมีไม่น้อยกว่า 50,000 บาทจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินใดที่ชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาของทนายโจทก์ ตามหนังสือทวงถามและใบตอบรับของโจทก์ที่ส่งถึงจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าลายมือชื่อที่ลงไว้ในใบตอบรับทั้งสองฉบับ ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในบ้านเรือนของจำเลยที่ 1 อีกทั้งหนี้ตามสัญญากู้เงินยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน เพราะโจทก์ไม่อาจแสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใด จำเลยตกลงชำระหนี้ทั้งหมดในวันที่ 12 เมษายน 2531 จำเลยไม่ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับจำเลย จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพราะจำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญา และหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้จากโจทก์ จำเลยที่ 2ไม่เคยหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่อาศัย โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่ได้บอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวดังที่โจทก์กล่าวอ้างจำเลยทั้งสองยังมีอาชีพค้าขายโดยสุจริต และมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ที่ให้เลิกสัญญากู้เงินและทวงถามจำเลยที่ 1ให้ชำระหนี้เป็นการส่งโดยไม่ชอบหนี้ของโจทก์ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยที่ 1 ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญากู้เงินและทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้อาศัยอยู่ตามบ้านเลขที่ในหนังสือบอกกล่าวของโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์มีนายสิทธิชัย พิสัยพันธ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญากู้เงินและทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้รวมสองครั้ง โดยส่งหนังสือดังกล่าวไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1และมีผู้รับหนังสือนั้นไว้แล้ว ดังปรากฏตามหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามให้ชำระหนี้กับใบตอบรับเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.8 จำเลยที่ 1 เองก็เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาตามที่โจทก์ส่งหนังสือดังกล่าวไปให้ จึงเห็นว่าการส่งคำบอกกล่าวของโจทก์ที่ให้เลิกสัญญากู้เงินและทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้รวมสองครั้ง เป็นการส่งโดยชอบ สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันเลิกกันหนี้ของโจทก์จึงถึงกำหนดชำระแล้ว เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามหนังสือทวงถามของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัด ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำนวนหนี้ตามฟ้องของโจทก์มีจำนวนเกินกว่าความจริงนั้น… พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์จำนวน 637,431.30 บาท จริงดังคำฟ้องของโจทก์ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่า จำเลยทั้งสองไม่ใช่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นเห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ต้องร่วมกันชำระให้โจทก์รวมถึงจำนวน 637,431.30 บาท ส่วนที่จำเลยที่ 1 เบิกความกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพทำตะเกียบส่งประเทศไต้หวันทำประตูเหล็กดัด และโครงหลังคาเหล็ก มีตึกแถวที่สามารถโอนให้ผู้อื่นเข้าอยู่ และมีรถยนต์ปิกอัพ 2 คัน รวมกำไรที่จะได้จากการประกอบอาชีพและทรัพย์สินที่มีอยู่ดังกล่าว คิดเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่เป็นหนี้โจทก์นั้น เห็นว่าเป็นเพียงคำเบิกความกล่าวอ้างของจำเลยที่ 1 แต่ลอย ๆ โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าเป็นความจริง และสำหรับจำเลยที่ 2 ที่เบิกความกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 มีแผงสำหรับขายของอยู่ที่ตลาดสามย่าน ถ้าโอนแผงทั้งสองนี้จะได้เงินประมาณ 150,000 บาทนั้น ก็เห็นว่าเป็นเพียงคำเบิกความกล่าวอ้างของจำเลยที่ 2 แต่ลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าเป็นความจริงเช่นกัน ทั้งแผลลอยตามคำเบิกความกล่าวอ้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ก็มีราคาไม่ถึงจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดชำระให้โจทก์อีกด้วย ด้วยเหตุดังวินิจฉัยแล้ว จึงเห็นว่าข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจริง…”
พิพากษายืน.

Share