คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะโจทก์ร่วมถูกฟ้องคดีอาญา จำเลยรับฝากทรัพย์สิ่งของและเงินไว้จากโจทก์ร่วมหลังจากโจทก์ร่วมพ้นคดีแล้ว โจทก์ร่วมทวงทรัพย์สินที่ฝากไว้คืนจากจำเลยแต่จำเลยไม่คืนให้ เงินที่โจทก์ร่วมฝากไว้จำเลยผู้รับฝากมีสิทธินำออกใช้อย่างไรก็ได้หากจำต้องคืนแก่โจทก์ให้ครบตามจำนวนเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตการที่จำเลยนำเงินที่รับฝากนั้นออกใช้หรือไม่คืนให้ เมื่อถูกทวงถามจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก ส่วนทรัพย์สินอื่นเมื่อโจทก์ร่วมทวงถามแล้ว จำเลยไม่คืนให้โดยเจตนาทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 91ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 194,540 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสงวน พงษ์พานิช ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 จำเลยเป็นน้องผู้เสียหาย ให้ลงโทษจำเลยกระทงละ 1 ปีเรียงกระทงลงโทษแล้วจำคุกจำเลย 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไปรวม 194,540 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ให้จำคุกจำเลยเพียงกระทงเดียวมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกันหรือไม่และตามฎีกาข้อ 2 ข.ของจำเลยที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยรับทรัพย์สินและเงินของโจทก์ร่วมไว้แล้วไม่คืนให้เมื่อถูกทวงถามจะเป็นความผิดฐานยักยอกหรือไม่ ได้พิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ประกอบกับข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนที่ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 3 ตุลาคม2526 ถึงเดือนพฤษภาคม 2529 ขณะโจทก์ร่วมถูกฟ้องคดีอาญาในความผิดเกี่ยวกับเพศ จำเลยได้รับฝากทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ และเงินจำนวนตามฟ้องไว้จากโจทก์ร่วม เมื่อเดือนมิถุนายน 2529 หลังจากพ้นคดีแล้วโจทก์ร่วมไปทวงทรัพย์สินที่ฝากไว้คืนจากจำเลยแต่จำเลยไม่คืนให้แล้วเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องโจทก์ร่วมและจำเลยฝากทรัพย์กัน ดังนั้นเงินทั้งหมดที่โจทก์ร่วมฝากไว้จำเลยผู้รับฝากจึงมีสิทธิที่จะนำออกใช้อย่างไรก็ได้ หากจำต้องคืนแก่โจทก์ร่วมให้ครบตามจำนวนเท่านั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต เพียงแต่เมื่อโจทก์ร่วมทวงถามจำเลยไม่คืนให้ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมจะต้องฟ้องเรียกคืนจากจำเลยในทางแพ่ง การที่จำเลยนำเงินที่รับฝากนั้นออกใช้หรือไม่คืนให้เมื่อถูกทวงถามหาเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกไม่ จึงไม่อาจสั่งในคดีนี้ให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมได้ส่วนการรับฝากทรัพย์สินอื่นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาได้ความว่า โจทก์ร่วมทวงถามแล้ว จำเลยไม่คืนให้โดยเจตนาทุจริตจึงเป็นความผิดฐานยักยอก ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน เมื่อจำเลยคงมีความผิดฐานยักยอกสร้อยคอทองคำ แหวนทองคำ และพระเครื่องของโจทก์ร่วม มีมูลค่าทั้งสิ้นเพียง 29,250 บาท ทั้งจำเลยเป็นน้องร่วมมารดาของโจทก์ร่วม ระหว่างโจทก์ร่วมต้องคดีจำเลยก็ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด โทษที่ศาลอุทธรณ์วางแก่จำเลยจึงหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดี และให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นคนดีโดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือน และให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 29,250 บาทแก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share