คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยและจำเลยร่วมเป็นสามีภรรยากัน จำเลยได้ขายฝากที่ดินและบ้านอันเป็นสินสมรสไว้แก่โจทก์โดยจำเลยร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย การที่จำเลยร่วมไปติดต่อขอซื้อทรัพย์ที่เป็นสินสมรสดังกล่าวคืนจากโจทก์ กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยร่วมใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์ของตนคืน ดังนี้หาใช่เป็นการชำระหนี้หรือเรียกทวงให้ชำระหนี้อันจะถือเป็นการให้สัตยาบันแก่การขายฝาก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้นำที่ดินซึ่งจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมโฉนดเลขที่ 25665 ส่วนของจำเลยพร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านไม้ชั้นเดียว ไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่โจทก์ในราคา 27,850 บาท มีกำหนดเวลาหนึ่งปี ครบกำหนดแล้วจำเลยมิได้ไถ่ถอนขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยแบะบริวารออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดิน พร้อมส่งมอบบ้านและที่ดินคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยพร้อมบริวารยุ่งเกี่ยวกับบ้านและที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาขายฝาก สมคบกับผู้อื่นฉ้อโกงประชาชนและจำเลยว่าจะส่งไปทำงานแล้วไม่ส่งไปจริง นำเอาหนี้ผิดกฎหมายมาบังคับจำเลยโดยอาศัยสัญญาขายฝาก ทรัพย์สินที่ขายฝากเป็นสินสมรสของจำเลยกับภรรยาคืนางวาสนาสิงหเสนีย์ นางวาสนามิได้ให้ความยินยอมในการทำนิติกรรม เมื่อนางวาสนาทราบเรื่องก็มิได้ให้สัตยาบัน จำเลยขอถือเอาคำให้การเป็นฟ้องแย้ง โดยจำเลยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 7,000 บาท ถือว่านิติกรรมการขายฝากเป็นโมฆะเพราะไม่มีหนี้จริง และการขายฝากไม่สมบูรณ์เพราะนางวาสนามิได้ยินยอม ขอให้โจทก์คืนบ้านและที่ดินตามสัญญาขายฝากให้แก่จำเลยและนางวาสนา
นางวาสนา สิงหเสนีย์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม อ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นสามีผู้ร้อง ทำสัญญาขายฝากโดยผู้ร้องมิได้ยินยอมและมิได้ให้สัตยาบัน ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนำได้เสีย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้เป็นจำเลยร่วม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ทรัพย์สินที่จำเลยนำมาขายฝากเป็นของจำเลยผู้เดียวไม่ใช่สินสมรส ผู้ร้องร้องเข้ามาเพื่อช่วยเหลือจำเลย ขอให้ยกคำร้อง จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปครบถ้วนแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกจากบ้านและที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 25665 อยู่ตำบลบ้านเลื่อม อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดินพร้อมทั้งส่งมอบบ้านและที่ดินคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยพร้อมทั้งบริวารเกี่ยวข้องกับบ้านและที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ยินยอมให้จำเลยและจำเลยร่วมไถ่ถอนการขายฝากรายนี้ได้ในราคาที่ขายฝาก หากโจทก์ไม่ยอมดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษานี้เป็นความยินของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและจำเลยร่วมเป็นสามีภรรยากัน ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรส จำเลยได้ขายฝากไว้แก่โจทก์และจำเลยได้รับเงินค่าขายฝาก 27,850 บาท การขายฝากรายนี้จำเลยร่วมมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย เมื่อจำเลยร่วมทราบเรื่องการขายฝากแล้วได้ไปติดต่อเรื่องที่ดินและบ้านกับโจทก์ แต่ตกลงกันไม่ได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่าจำเลยร่วมได้ให้สัตยาบันอันจะทำให้สัญญาขายฝากมีผลสมบูรณ์หรืไม่ ซึ่งในประเด็นดังกล่าวจำเลยและจำเลยร่วมนำสืบก่อนว่าจำเลยร่วมได้ไปติดต่อกับโจทก์เพื่อขอซื้อที่ดินและบ้านจากโจทก์ในราคา 38,000 บาท แต่โจทก์ไม่ตกลง ส่วนโจทก์นำสืบว่าจำเลยร่วมเคยมาขอไถ่ถอนที่ดินและบ้านโดยเสนอราคา 38,000 บาท แต่โจทก์คิดราคา 40,000 บาท เพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะขายหรือไม่ก็ได้
พิเคราะห์แล้ว โจทก์จำเลยต่างนำสืบรับกันว่า จำเลยร่วมได้มาติดต่อเรื่องที่ดินและบ้านที่จำเลยขายฝากไว้กับโจทก์ภายหลังจากครบกำหนดเวลาไถ่คืนแล้ว ดังนั้นจึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมได้ติดต่อขอซื้อที่ดินและบ้านคืนจากโจทก์ แม้โจทก์จะเบิกความโดยใช้คำว่าขอไถ่ถอนแต่ก็ได้อ้างว่าเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะขายหรือไม่ก็ได้ ซึ่งก็มีความหมายว่าจำเลยร่วมมาขอซื้อคืนนั่นเอง ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและบ้านที่ขายฝากร่วมกับจำเลยได้ติดต่อขอซื้อทรัพย์ดังกล่าวคืนจากโจทก์เช่นนี้กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยร่วมติดตามเอาทรัพย์ของตนคืนหาใช่เป็นการชำระหนี้หรือเรียกทวงให้ชำระหนี้อันจะถือได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่จำเลยร่วมซึ่งได้ทราบว่าจำเลยขายฝากทรัพย์สินแก่โจทก์ไม่ว่าจะทราบก่อนครบสัญญาหรือภายหลังครบสัญญาแล้ว โดยจำเลยร่วมมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากดังกล่าว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้สัตยาบันเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน.

Share