คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ล. ซึ่งโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นทายาทร่วมด้วย การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินมรดกมาเป็นของตนตามลำพังแล้วนำไปจำนองหนี้ส่วนตัวกับจำเลยที่ 2 โดยทายาทอื่นมิได้รู้เห็นยินยอม จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 การจำนองจึงเป็นกิจการที่จำเลยที่ 1 ทำไปนอกขอบอำนาจในฐานะผู้จัดการมรดก โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทซึ่งได้มาเมื่อ ล.เจ้ามรดกตาย ย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้จำเลยทั้งสองสอดเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้เสมอ ฟ้องของโจทก์ไม่เกี่ยวกับคดีมรดก จึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754มาบังคับไม่ได้ จำเลยที่ 2 รับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตทำให้โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าของรวมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทของ ล. และเป็นผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนจำเลยที่ 2ต้องเสียเปรียบ จึงชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ ล. ซึ่งมีทายาทด้วยกัน 11 คนการที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อประโยชน์แก่ทายาทด้วยกันทั้งหมดทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1359 เมื่อจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท 1 ใน 11 ส่วนจึงต้องเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท 10 ใน 11 ส่วน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 1 เป็นทายาทโดยธรรมของนายเหลาหรือเฉลา อร่ามหรืออะร่าม ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 11 คน ต่อมานายเหลาหรือเฉลาถึงแก่ความตายโดยมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน น.ส.3ก. จำนวน 4 แปลง เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกแล้วได้โอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 แล้วจดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 2 โดยปกปิดทายาทอื่น อันเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ ขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงโดยให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองภายใน 15 วัน หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความคดีมรดก จำเลยที่ 2 รับจดทะเบียนจำนองไว้โดยสุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งแปลง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 บัญญัติว่า “เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท” โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7และจำเลยที่ 1 เป็นทายาทของนายเหลา มรดกของนายเหลาย่อมตกทอดเป็นของทายาทในเมื่อนายเหลาตาย โจทก์ทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกัน การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลแล้วได้จัดการโอนมรดกมาเป็นของจำเลยที่ 1 ตามลำพังแล้วนำไปจำนองหนี้ส่วนตัวไว้กับจำเลยที่ 2 โดยทายาทอื่นมิได้รู้เห็นยินยอมเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกแก่ทายาทดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 การจำนองดังกล่าวจึงเป็นกิจการที่ได้ทำไปนอกขอบอำนาจในฐานะที่เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์ทั้งเจ็ดในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขัดขวางมิให้จำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้เสมอฟ้องของโจทก์ไม่เกี่ยวกับคดีมรดกจึงนำอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาบังคับเกี่ยวกับคดีนี้ได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ส่วนฎีกาข้อสุดท้ายที่ว่าจำเลยที่ 2 รับจำนองที่ดินไว้โดยสุจริตนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยไม่สุจริต แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายเหลาที่ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และโจทก์ทั้งเจ็ดย่อมเป็นการเสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 รับจำนองไว้โดยไม่สุจริตจึงชอบที่จะเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองเสียได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากที่ดิน น.ส.3ก. เลขที่ 2886, 2887, 3460 และ3466 ตามฟ้อง เป็นทรัพย์มรดกของนายเหลาซึ่งมีทายาทด้วยกัน 11 คนการที่โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองจึงเป็นการใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อประโยชน์แก่ทายาทด้วยกันทั้งหมดทุกคน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1359 เมื่อจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเพียง 1 ใน 11ส่วน จึงต้องเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งเจ็ดและทายาทอื่นซึ่งรวมแล้วเพียง 10 ใน 11 ส่วนเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งเจ็ดและทายาท 10 ใน 11 ส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1.

Share