แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความฟ้องคดีขับไล่ ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ 250,000 บาท มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน 20,400 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืน โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง เช่นนี้ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความหรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133(เดิม)(มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246,247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2532จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความในคดีฟ้องขับไล่ ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1949/2532 ของศาลแพ่งธนบุรี ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ 250,000 บาทมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน 20,400 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุดถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืน โจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง โจทก์ได้ใช้ความรู้ความสามารถตลอดจนศิลปะบังคับจนจำเลยในคดีดังกล่าวข้างต้นยอมที่จะประนีประนอมด้วยโดยขอค่าขนย้าย 25,000 บาท ครั้นถึงวันนัดจำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนโจทก์จากการเป็นทนายความพร้อมเสนอให้เงินแก่จำเลยคดีนั้น50,000 บาท ศาลจึงมีคำพิพากษาตามยอม โจทก์ทวงถามค่าจ้างจากจำเลยแต่จำเลยปฏิเสธ โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2532 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน15,833.34 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 265,833.34 บาทพร้อมดอกเบี้ยใน อัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 250,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยจ้างโจทก์เป็นทนายความไม่เคยตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ตามฟ้อง จำเลยเคยฟ้องนายพีรกิตย์ ถาวรานุสรณ์เป็นจำเลยที่ศาลแพ่งธนบุรี โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเองโจทก์ไม่ได้เกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24พฤษภาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าจ้างว่าความโดยโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อตกลงตามสัญญาจ้างว่าความว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความในคดีฟ้องขับไล่ ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1959/2532 ของศาลชั้นต้น ระหว่างนายอลงกรณ์ กมลยะบุตร ที่ 1 นายอนุสรณ์ ฉวีรัตน์ ที่ 2 โจทก์นายพีรกิตย์ ถาวรานุสรณ์ จำเลย ตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ 250,000 บาทมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์เมื่อคดีถึงที่สุดและจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี กับให้โจทก์ออกเงินทดรองเป็นค่าขึ้นศาลจำนวน20,400 บาท ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในระหว่างดำเนินคดีไปก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ได้รับที่ดินพิพาทคืนโจทก์จะไม่ได้รับค่าจ้าง ดังนี้ เห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาจ้างว่าความระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกันหรือยุยงให้ผู้อื่นเป็นความกัน จึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 (เดิม) (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) ปัญหาข้อนี้แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247 และเมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นตามฎีกาจำเลยข้ออื่นอีกต่อไป เพราะไม่อาจทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์