แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตายมรดกตกมาเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม. จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท. โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ. คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172. ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง. ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง. สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา.
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้.และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น. ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์.โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง. คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ. การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2504 นายสุข กิจอนันต์ สามีจำเลยที่ 1 บิดาจำเลยที่ 2 ได้เช่าที่นาโฉนดเลขที่ 2729 เนื้อที่41 ไร่เศษของนางฉลวย ค่าเช่าไร่ละ 10 ถัง และค่าเสียหายไร่ละ 5 ถังต่อมานางฉลวยได้ขายที่ดินให้โจทก์ นายสุข กิจอนันต์ ได้เช่าจากโจทก์ในอัตราค่าเช่าเท่าเดิม และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2505นายสุขให้จำเลยที่ 1 มาทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงนี้แทน โจทก์และผู้เช่าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านาพ.ศ. 2493 มาตรา 10 และ 12 เมื่อเดือนธันวาคม 2509 นายสุขตาย มรดกของนายสุขได้ตกแก่จำเลยทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรม ในปีทำนา 2509 จำเลยเป็นผู้เก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่านี้คิดเป็นเงิน 7,020 บาท จำเลยไม่ยอมชำระ โจทก์ได้มอบให้ทนายของโจทก์บอกเลิกการเช่านาเพราะมีความประสงค์จะทำเองจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระค่าเช่านาและห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับนาของโจทก์ต่อไป จำเลยทั้งสองให้การว่า นายสุข กิจอนันต์ เป็นสามีของจำเลยที่ 1 เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ได้ทำสัญญาเช่าไว้กับโจทก์จริง เมื่อพ.ศ. 2508 ที่ดินโฉนดที่ 2729 มีผู้ถือกรรมสิทธิ์สามคน เฉพาะเนื้อที่ 36 ไร่ ที่จำเลยทำนาตกเป็นกรรมสิทธิ์นาวาอากาศเอกบำเพ็ญชูประวัติ บุตรโจทก์ จำเลยจึงไปตกลงเช่ากับนาวาอากาศเอกบำเพ็ญ และได้ทำนาจนถึงปี 2509 ที่นาที่จำเลยเช่าไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำฟ้อง คำให้การ และสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างและส่งศาล จึงสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องว่านาที่โจทก์ให้เช่ามีผลทำนาได้ข้าวเปลือกปีหนึ่งไร่ละเท่าใด จะอนุมานเอาจากค่าเช่าที่โจทก์เรียกมาแปลว่าต้องเป็นนาทำผลได้ตามปกติไร่ละ 40 ถังต่อปีก็ไม่ได้ อัตราค่าเช่าที่โจทก์เรียกก็เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ฟ้องของโจทก์ทำสัญญาเช่าเรียกค่าเช่านาไร่ละ 15 ถัง จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เป็นไปตามสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้ฟังคำพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความก่อน จึงไม่ชอบ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวชัดว่านายสุขเป็นผู้เช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตาย มรดกตกมายังจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม การทำนาปี 2509 จำเลยเป็นผู้เก็บผลประโยชน์ในที่นาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตายไร่ละ 15 ถัง นา 36 ไร่เป็นข้าวเปลือก 540 ถัง เกวียนละ 1,300 บาท เป็นเงิน 7,020 บาทจำเลยต้องชำระต่อโจทก์ โจทก์มีหนังสือให้จำเลยชำระค่าเช่าและบอกเลิกการเช่านารายนี้ ขอให้ศาลบังคับ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า หนังสือสัญญาเช่าขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 หรือไม่ ตามมาตรา 5 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าเช่าเกินกว่าอัตราจากนาที่ผลการทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติในปีหนึ่งไร่ละ 40 ถังขึ้นไป เรียกเก็บได้ไม่เกิน 10 ถัง ปรากฏว่าสัญญาเช่านาที่โจทก์นำมาฟ้องระบุชัดว่าให้ค่าเช่าเป็นข้าวไร่ละ 15 ถังใหญ่ ฉะนั้นสัญญาเช่าจึงขัดต่อกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา ตามคำฟ้องของโจทก์ นอกจากจะเรียกร้องเอาค่าเช่านาและขอให้ขับไล่ เพราะจำเลยไม่ชำระค่าเช่าแล้ว โจทก์ยังบอกเลิกการเช่านารายนี้ไปยังจำเลยแล้ว และจำเลยได้ต่อสู้ว่าจำเลยเช่านาพิพาทจากนาวาอากาศเอกบำเพ็ญ ชูประวัติ นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปอีก การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลยนั้น จึงไม่ชอบ ควรให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี พิพากษายืน.