แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รายงานการตรวจรักษาผู้ป่วยที่จำเลยอ้างเป็นพยานต่อศาลแม้เป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสารแต่ก็เป็นสำเนาเอกสารที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลของทางราชการส่งต่อศาลตามคำสั่งเรียกของศาลโดยมีหนังสือราชการนำส่งเป็นทางการถือได้ว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้รับรองสำเนาถูกต้องแล้วรับฟังเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า รถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย แต่จำเลยไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัย โดยบุคคลอื่นที่ไม่ได้กำหนดไว้และไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกที่เอาประกันภัยทั้งโจทก์คิดค่าเสียหายสูงเกินไปและโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถคันดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าขณะรถยนต์บรรทุกที่โจทก์เอาประกันภัยเกิดวินาศภัย ผู้ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย นั้นพยานจำเลยมีนายธวัชไชย และนายพิชัยพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยเบิกความว่า จำเลยได้รับแจ้งอุบัติเหตุรายนี้ เมื่อวันที่18 สิงหาคม 2533 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา นายธวัชไชยได้ไปตรวจที่เกิดเหตุพบรถยนต์บรรทุกสิบล้อของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยชนเนินดินพลิกคว่ำอยู่ข้างถนน นายธวัชไชยสอบถามคนเฝ้ารถในที่เกิดเหตุทราบว่าขณะเกิดเหตุ นายสายหยุดเป็นผู้ขับรถได้รับบาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระพุทธบาท นายธวัชไชยจึงไปที่โรงพยาบาลพระพุทธบาท แต่ไม่ได้พบกับนายสายหยุดต่อมานายบรรพตมาแจ้งเรื่องรถยนต์บรรทุกสิบล้อของโจทก์พลิกคว่ำแก่นายพิชัยว่า ขณะเกิดเหตุนายบรรพตเป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อดังกล่าวได้ขับรถหลบก้อนหินไปชนกองดินทำให้รถพลิกตะแคงได้รับความเสียหาย โดยนายบรรพตซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ได้ขับรถไปคนเดียวไม่มีคนอื่นนั่งไปด้วย แต่กลับได้ความจากกรรมการผู้จัดการโจทก์เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุที่รถยนต์บรรทุกของโจทก์พลิกคว่ำมีนายสายหยุดนั่งไปด้วยและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หลังเกิดเหตุมีผู้นำนายสายหยุดไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลพระพุทธบาท ตรงกับที่นายธวัชไชยเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุมีนายสายหยุดนั่งไปในรถด้วยและได้รับบาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าว ดังนั้น ที่นายบรรพตให้ถ้อยคำแก่นายพิชัยเช่นที่กล่าวมาข้างต้นจึงปิดบังความจริงเกี่ยวกับนายสายหยุดที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไป จึงมีว่าขณะเกิดเหตุนายบรรพตหรือนายสายหยุดเป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันที่เกิดวินาศภัยของโจทก์ข้อนี้จำเลยมีรายงานรักษาผู้ป่วยชื่อนายสายหยุดของโรงพยาบาลพระพุทธบาทซึ่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาลชั้นต้นมานำสืบว่าโรงพยาบาลได้รับตัวนายสายหยุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2533 เวลา 3.40 นาฬิกา มีข้อความที่แพทย์บันทึกไว้ถึง 3 แห่ง ว่าผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บจากการขับรถสิบล้อพลิกคว่ำเองมีบาดแผล ฯลฯ รู้สึกตัวดีแต่ได้จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลเพราะไม่สมัครใจอยู่รักษา เห็นว่า หลังเกิดเหตุนายสายหยุดได้ไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลพระพุทธบาททันทีโดยมีนายสุชัยเป็นแพทย์ผู้ตรวจรักษาทำรายงานรักษาผู้ป่วยและลงชื่อไว้ แสดงว่านายสายหยุดได้บอกนายแพทย์สุชัยว่าบาดแผลเกิดจากการขับรถบรรทุกสิบล้อพลิกคว่ำเอง โดยไม่ทันที่จะมีความคิดเป็นอย่างอื่น แม้บันทึกรายงานการตรวจรักษาดังกล่าวจะเป็นภาพถ่ายสำเนาเอกสารแต่ก็เป็นเอกสารที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระพุทธบาทส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาล โดยมีหนังสือราชการนำส่งเป็นทางการ ถือได้ว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้รับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) เกี่ยวกับเรื่องนี้นายบรรพตได้ไปให้ถ้อยคำแก่นายพิชัยหลังเกิดเหตุเพียง 4 วัน ว่า นายบรรพตเป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุและไปแจ้งเหตุต่อพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ ว่า ตนเป็นผู้ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวขณะเกิดวินาศภัย หลังเกิดเหตุถึง 3 เดือนและต่อมานายบรรพตได้มาเบิกความเป็นพยานโจทก์คดีนี้ว่านายบรรพตเป็นผู้ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุ อันเป็นการกระทำภายหลังเกิดเหตุนานแล้วทั้งสิ้น คำเบิกความของนายบรรพตจึงมีน้ำหนักน้อย เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะรถบรรทุกสิบล้อของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเกิดวินาศภัย ผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อดังกล่าวคือนายสายหยุด ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์