คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1603/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน. จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าที่จำเลยกระทำไปนั้นมีลักษณะ เป็นการป้องกันหาได้ไม่. และจำเลยจะอ้างว่ากระทำไปด้วยบันดาลโทสะก็ไม่ได้. เพราะจำเลยสมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรก จำเลยมิได้ถูกฝ่ายผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน. แล้วจำเลยจึงได้ทำร้ายฝ่ายผู้ตาย. แต่การที่จำเลยถูกฝ่ายผู้ตายซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่ารุมทำร้ายจำเลย. และการที่จำเลยเหวี่ยงมีดกราดไปมาถูกผู้ตายที่ขมับเพราะผู้ตายโผเข้ามา. จำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้. เพราะเป็นการชุลมุนต่อสู้กันหลายคน จะฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายยังไม่ได้. คงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 3นายเที่ยงและนางสาวสมจิตรอีกฝ่ายหนึ่ง ได้สมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายนายเที่ยงตายโดยเจตนาฆ่า และแทงนางสาวสมจิตรจนได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันชกต่อยจำเลยที่ 3 แต่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ใช้ไม้คานกับไม้ฟืนตีทำร้ายนายสวัสดิ์พวกจำเลยที่ 3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอีกด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 กับพวกได้ร่วมกันใช้มีดเป็นอาวุธฟันและแทงจำเลยที่ 1 จนได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัส ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297, 288, 391 และให้ริบมีดของกลาง จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงนายเที่ยงสมประสงค์ ถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่า และจำเลยที่ 1 ได้ใช้มีดปลายแหลมแทงนางสาวสมจิตร สมประสงค์ จนได้รับอันตรายสาหัส และจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ใช้ไม้คานกับไม้ฟืนตีนายสวัสดิ์สมประสงค์ จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้ใช้กำลังกายชกต่อยจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 3 ฟังได้ว่าร่วมกับนางสาวสมจิตร สมประสงค์ ใช้มีดฟันและแทงจำเลยที่ 1 และวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 295, 297 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 15 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ให้จำคุก6 เดือน จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297ให้จำคุก 1 ปี ริบมีดของกลาง ส่วนข้อหาอื่นให้ยก จำเลยที่ 2ต้องขังมาพอแก่โจทก์แล้ว ให้ปล่อยตัวไป จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า มิได้สมัครใจเข้าต่อสู้กับนายเที่ยงผู้ตายกับพวก การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัว จำเลยที่ 1มิได้มีเจตนาฆ่านายเที่ยงผู้ตาย ไม่มีเจตนาจะทำร้ายนางสาวสมจิตรให้ได้รับอันตรายถึงสาหัส การกระทำของจำเลยเป็นการบันดาลโทสะขอให้ยกฟ้องหรือมิฉะนั้นก็ให้ลงโทษน้อยลง จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำไปเพื่อช่วยเหลือป้องกันนายสวัสดิ์สามีของจำเลย ซึ่งถูกจำเลยที่ 1 ทำร้าย หรือถ้าฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็ขอให้ลดหย่อนผ่อนโทษหรือรอการลงโทษด้วย ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นกรณีสมัครใจวิวาททำร้ายระหว่างจำเลยที่ 1 และผู้ตายจำเลยที่ 1 จึงอ้างสิทธิป้องกันตัวไม่ได้พิเคราะห์ถึงอาวุธและลักษณะของฐานแผล ฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่านายเที่ยงผู้ตาย ส่วนในกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงนางสาวสมจิตรได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยบันดาลโทสะ ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นจะอ้างสิทธิป้องกันตัวไม่ได้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 72 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุดให้จำคุกมีกำหนด 15 ปี จำเลยที่ 3 ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุอันควรบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยคนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี จำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีวิวาทสมัครใจต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน จำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่า ที่จำเลยที่ 1กระทำไปมีลักษณะเป็นการป้องกันหาได้ไม่ และจำเลยที่ 1 จะอ้างว่ากระทำไปด้วยบันดาลโทสะก็ไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 สมัครใจต่อสู้มาตั้งแต่แรกจำเลยที่ 1 มิได้ถูกฝ่ายผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมก่อน แล้วจำเลยที่ 1 จึงได้ทำร้ายฝ่ายผู้ตายแต่การที่จำเลยที่ 1 ถูกฝ่ายผู้ตายซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีอาวุธดีกว่ารุมทำร้ายจำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 เหวี่ยงมีดกราดไปมาถูกผู้ตายที่ขมับ เพราะผู้ตายโผเข้ามา จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะเป็นการชุลมุนต่อสู้กันหลายคนจะฟังว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายยังไม่ได้ จำเลยที่ 1คงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาและทำร้ายร่างกายนางสาวสมจิตรได้รับอันตรายถึงสาหัส และทำร้ายนายสวัสดิ์ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 295, 297 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้มีกำหนด 9 ปี จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share