แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้บุตรสาวผู้ร้องเป็นภริยา และได้ปลูกเรือนพิพาทบนที่ดินของผู้ร้องใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและภริยา. แม้เรือนจะมีลักษณะถาวรติดที่ดิน แต่เมื่อตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าผู้ร้องกับสามียินยอมให้ปลูกเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย. กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 ไม่ถือว่าเรือนพิพาทเป็นส่วนควบกับที่ดินของผู้ร้องและสามี. ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขัดทรัพย์เรือนพิพาทของจำเลยที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดบังคับคดีได้.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ดำเนินการบังคับคดีโดยยึดเรือนจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา 1 หลัง หมู่ที่ 13 ตำบลสีดาอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ราคา 5,000 บาท เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่าเรือนที่นำยึดเป็นของผู้ร้องกับสามีปลูกในที่ดินของผู้ร้องเมื่อ 10 ปีมาแล้ว ได้ให้นางป้อมบุตรสาวอยู่ได้ 2-3 ปี จึงได้จำเลยเป็นสามี และอยู่กินในเรือนพิพาทนี้ตลอดมา ครั้นเมื่อ 5 ปีมานี้ ทั้งสองได้ออกจากเรือนพิพาทไปทำกินอยู่จังหวัดอุดรธานีจึงได้ส่งมอบเรือนพิพาทคืนแก่ผู้ร้อง ซึ่งต่อมาผู้ร้องได้ให้บุตรชายอยู่อาศัย ขอให้ศาลสั่งปล่อยเรือนพิพาทที่ถูกนำยึด โจทก์คัดค้านว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลยซึ่งปลูกสร้างและอยู่อาศัยเองตลอดมา มิใช่เป็นของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ร้อง พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยเป็นผู้ปลูกเรือนพิพาทในที่ดินของผู้ร้อง แต่เรือนพิพาทเป็นเรือนถาวร และไม่ปรากฏว่าปลูกไว้เป็นการชั่วคราว หรือจำเลยได้สิทธิหรืออำนาจใด ๆ จากผู้ร้องเรือนพิพาทจึงเป็นส่วนควบของที่ดินผู้ร้อง ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 648/2506 พิพากษากลับ ให้ถอนการยึดเรือนพิพาท โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยเป็นผู้ปลูกเรือนพิพาทขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและภริยาและตามพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่าผู้ร้องและสามียินยอมให้จำเลยปลูกเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและภริยา เรือนพิพาทจึงไม่เป็นส่วนควบกับที่ดินของผู้ร้อง คำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ โจทก์มีอำนาจยึดได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์.