คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2512

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยที่ 1 กู้ไป และจำเลยที่2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ให้การว่า. ไม่มีเจตนาทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงิน. แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทำสัญญาซื้อขายที่ดินและห้องแถวกันจำเลยที่ 2 ค้ำประกันแต่เพียงว่า.จะไม่ให้จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องเรียกร้องเอาทรัพย์สินที่ซื้อขายคืนเท่านั้น. ดังนี้ จำเลยที่ 2 มิได้ให้การรับ. และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการกู้เงิน. ซึ่งจำเป็นที่โจทก์ต้องอ้างหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดีด้วย. เมื่อสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่ตามประมวลรัษฎากรต้องปิด 10 บาท. เอกสารสัญญาค้ำประกันจึงใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้.
โจทก์จะมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายประมวลรัษฎากรหรือไม่.ไม่สำคัญ. ถ้ามีการบกพร่องในเรื่องปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์แล้ว.ศาลก็รับฟังเอกสารนั้นๆ เป็นพยานไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไป 16,000 บาทจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ครบกำหนดตามสัญญากู้ โจทก์เตือนแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย21,700 บาท หากไม่ชำระ ก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้มีเจตนาทำสัญญากู้และค้ำประกันความจริงจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่ดินและห้องแถวให้โจทก์ แต่ทำสัญญาซื้อขายกันเองเพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ซื้อขายอีก โจทก์จึงให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็เพียงแต่ค้ำประกันว่า จะไม่ให้จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ซื้อขายเท่านั้น จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานจำเลยฟังไม่ได้ว่าเป็นเรื่องการซื้อขายเรือนและที่ดิน ฝ่ายโจทก์มีหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นหลักฐาน ซึ่งจำเลยรับรองว่าได้ลงชื่อไว้ในสัญญาทั้งสองฉบับไว้จริง พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังได้ว่าเป็นเรื่องกู้เงิน จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ แต่สัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท ซึ่งตามกฎหมายการค้ำประกันเงินกู้จำนวนตั้งแต่ 10,000บาทขึ้นไปต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท สัญญาค้ำประกันฉบับนี้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ดังจำเลยต่อสู้ ที่โจทก์ฎีกาว่า แม้หนังสือสัญญาค้ำประกันจะปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท ศาลย่อมรับฟังได้ เพราะเป็นเรื่องของความบกพร่องมิใช่โจทก์มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายแต่ประการใด อีกประการหนึ่งจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับว่าเป็นผู้ค้ำประกันจริง จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ จำเลยที่ 2มิได้ให้การรับดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกา จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ ต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทำสัญญาซื้อขายที่ดินและห้องแถวกัน จำเลยที่ 2 ค้ำประกันแต่เพียงว่าจะไม่ให้จำเลยที่ 1 เข้าไปเกี่ยวข้องเรียกร้องเอาทรัพย์สินที่ซื้อขายคืนเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการกู้เงิน ซึ่งจำเป็นที่โจทก์จะต้องอ้างหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นพยานหลักฐานในคดีด้วย เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรค 2 บัญญัติว่า สัญญาค้ำประกันนั้นจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เมื่อหนังสือสัญญาค้ำประกันที่โจทก์อ้างมาในคดีปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท แต่ตามประมวลรัษฎากร บัญญัติว่าสัญญาค้ำประกันเงินกู้ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไปต้องปิดอากรแสตมป์ 10 บาท อากรแสตมป์จึงยังขาดอยู่อีก 9 บาทเอกสารสัญญาค้ำประกันนี้จึงใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร ข้อบกพร่องในการปิดอากรแสตมป์นี้ โจทก์จะมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายประมวลรัษฎากรหรือไม่ไม่ถือเป็นข้อสำคัญ ถ้ามีการบกพร่องในเรื่องปิดอากรแสตมป์ ไม่ครบบริบูรณ์แล้ว ศาลก็รับฟังเอกสารนั้น ๆ เป็นพยานไม่ได้ ฎีกาของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน พิพากษายืน.

Share