แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่ง ม. และเด็กหญิง จ.ภ. เพื่อให้กระทำการค้าประเวณี เมื่อข้อเท็จจริงมีเหตุให้สงสัยตามสมควรว่า ในวันเกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบจำเลยอาจจะไม่ได้จัดส่ง ม. และเด็กหญิง จ.ภ. ไป แต่จัดส่ง จ.ร. ไป ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น จำเลยก็ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดในคดีนี้ ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าส่ง จ.ร. ไปค้าประเวณี ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษเป็นคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง วรรคสาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคสอง วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีตามที่โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้มั่นคงปราศจากข้อสงสัยหรือไม่ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ จำเลยเป็นธุระจัดหานางสาวมีนา อายุ 15 ปีเศษ และเด็กหญิง จ 13 ปีเศษ ไปเพื่อให้ค้าประเวณี เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความทำให้มีข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้จัดหานางสาวมีนาและเด็กหญิง จ ส่งไปให้ดาบตำรวจวีระวัฒน์ กับพวก ผู้วางแผนการจับกุมจำเลย หรือจำเลยเป็นผู้จัดหานางสาวจินตรา ไม่ทราบนามสกุล ไปให้ดาบตำรวจวีระวัฒน์แล้วนางสาวจินตราเป็นผู้จัดหานางสาวมีนาและเด็กหญิง จ ให้ดาบตำรวจวีระวัฒน์อีกต่อหนึ่ง โดยดาบตำรวจวีระวัฒน์เบิกความว่า พยานโทรศัพท์จากห้องพักไปหาจำเลยซึ่งทำงานในโรงแรมในหน้าที่แคชเชียร์ และสอบถามว่ามีผู้หญิงบริการหรือไม่ โดยไม่ได้เน้นว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ พันตำรวจโทวิเชียร เบิกความว่า พยานเป็นผู้ร่วมจับกุมกับจ่าสิบตำรวจวีระวัฒน์ (ยศในขณะนั้น) หลังการจับกุม จ่าสิบตำรวจวีระวัฒน์เล่าให้พยานฟังว่าก่อนที่นางสาวมีนาและเด็กหญิง จ จะเข้ามาในห้อง ได้มีนางสาวจินตรามาให้ดูตัวก่อน นางสาวมีนาเบิกความว่า คืนเกิดเหตุจำเลยโทรศัพท์บอกนางสาวจินตราซึ่งอายุ 21 ปีเศษแล้วและค้าประเวณีด้วย ให้ไปพบกับแขกที่ต้องการซื้อบริการที่ห้องหมายเลข 55 นางสาวจินตราออกไปสักพักก็กลับมาบอกว่าแขกมี 2 คน ไม่ต้องการนางสาวจินตราแต่ต้องการเด็ก แล้วนางสาวจินตราพาพยานกับนางสาวจิตราภรณ์ไปที่ห้องดังกล่าว และมีการตกลงซื้อขายบริการประเวณีกัน ชั้นสอบสวนพยานให้การไว้ กับนางสาวจิตราภรณ์เบิกความตอบโจทก์ว่า จำเลยโทรศัพท์เข้าที่ในห้องพักแต่ใครรับสายพยานจำไม่ได้ จำเลยให้พยานกับนางสาวมีนาไปที่ห้องพักหมายเลข 55 เพื่อค้าประเวณี พยานกับนางสาวมีนาจึงไปที่ห้องพักดังกล่าว ส่วนนางสาวจินตราตามเข้ามาทีหลัง แต่ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นางสาวจินตราเป็นคนรับโทรศัพท์จากจำเลยและออกไปที่ห้องพักหมายเลข 55 หลังจากนั้นนางสาวจินตรากลับมาที่ห้องบอกว่าแขกไม่ต้องการนางสาวจินตรา แต่ต้องการเด็กบ้าน ๆ พยานกับนางสาวมีนาจึงออกไปพบแขกโดยไม่ได้บอกจำเลย ดังนี้เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากดังกล่าวล้วนแต่เป็นพยานโจทก์ คำเบิกความของพันตำรวจโทวิเชียร นางสาวมีนาและนางสาวจิตราภรณ์ที่สอดคล้องต้องกันว่านางสาวจินตราเป็นผู้ไปพบกับจ่าสิบตำรวจวีระวัฒน์กับพวกก่อน มีน้ำหนักรับฟังได้ ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุให้สงสัยได้ตามสมควรว่าในวันเกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ จำเลยอาจจะไม่ได้จัดส่งนางสาวมีนาและเด็กหญิงจิตราภรณ์ไป แต่จัดส่งนางสาวจินตราไป ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น จำเลยก็ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดในคดีนี้ ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยส่งนางสาวจินตราไปค้าประเวณี ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและประสงค์ที่จะให้ศาลลงโทษเป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน