แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ปลูกบ้านเรือนอาศัยอยู่ในที่ดินของ ส.ถือได้ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินแทน ส..ต่อมาส.ขายที่ดินให้แก่จำเลย. ดังนี้แม้โจทก์จะเคยใช้ทางเดินในที่ดินที่ขายให้จำเลยเดินผ่านออกสู่ถนนตลอดมาก็ตาม. ก็เรียกไม่ได้ว่าโจทก์ครอบครองใช้ที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ. จึงมิใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์.อายุความได้สิทธิทางภารจำยอมจะเริ่มนับได้ตั้งแต่ ส.ขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลย ซึ่งตามกฎหมายมีกำหนดเวลา 10 ปี.
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งที่ดินแปลงนั้นเดิมเป็นของนายบัวมาก่อน นายบัวขายให้คนอื่น และจำเลยที่ 1 เพิ่งซื้อจากคนอื่นเมื่อ 2 ปีมานี้เองจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 มีที่ดินอยู่ใกล้เคียงกับจำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสามและผู้อื่นได้ใช้ทางสำหรับกระบือเดินเข้าออกจากที่ดินของโจทก์เข้าไปในที่ดินของจำเลยที่ 1ทางกว้าง 1 วา ยาวประมาณ 5 เส้น ออกสู่ถนนอุทัย – มโนรมย์ เพื่อใช้ในการทำนาในที่นาของโจทก์และผู้อื่นติดต่อกันมาจนบัดนี้เป็นเวลา 40 ปีแล้ว ทางสายนี้จึงเป็นภารจำยอมตามกฎหมาย เมื่อเดือน 6-7ปีนี้ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ให้จำเลยที่ 2 ปิดกั้นทางดังกล่าวส่วนจำเลยที่ 3 ได้ขยายแนวรั้วเข้าไปในทาง เป็นเหตุให้โจทก์และผู้อื่นนำกระบือเข้าออกไม่ได้ดังแต่ก่อน จึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1เปิดทางภารจำยอมดังกล่าว และให้จำเลยที่ 3 ร่นแนวเขตรั้วออกจากทาง จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่า ที่ดินของจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3มีเขตติดต่อกัน แต่ไม่มีทางภารจำยอม ที่ดินแปลงนี้จำเลยที่ 1กับพวกอีก 2 คนได้ซื้อจากนางสุภรณ์เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2505นางสุภรณ์และจำเลยที่ 3 ซื้อมาจากนายบัว แม่นศร และนายบัวมิได้สงวนสิทธิใด ๆ ในการเดินเข้าออกเกี่ยวกับที่ดินนี้เลย จำเลยที่ 2ได้เช่าที่ดินแปลงนี้จากจำเลยที่ 1 กับพวก จำเลยที่ 2 มิได้ปิดทาง และโจทก์มีทางเข้าออกทางอื่นโจทก์เป็นลูกหลานนายบัวแม่นศร ทั้งสิ้น คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีฟังไม่ได้ว่า ทางเส้นนี้เป็นทางภารจำยอม พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้ใช้เส้นทางที่พิพาทในที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตลอดมาในฤดูทำนา โจทก์ได้ย้ายบ้านไปอยู่ทางทิศตะวันตกเป็นเวลา 14 ปีแล้ว โจทก์และคนอื่นใช้ทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ทางนี้จึงตกเป็นภารจำยอม ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า โจทก์กับพวกได้ใช้ทางพิพาทเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอม แต่คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ขยายแนวรั้วล้ำทางพิพาท พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1เปิดทางพิพาท จำเลยที่ 1, 2 ฎีกาว่า การที่จำเลยปิดกั้นทางพิพาทถือเป็นละเมิดโจทก์ไม่ฟ้องใน 1 ปี คดีขาดอายุความ อายุความได้สิทธิภารจำยอมจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่นายบัว แม่นศร ขายให้นางสุภรณ์แต่นางสุภรณ์ซื้อที่ดินแปลงนี้ยังไม่ถึง 10 ปี ทางพิพาทจึงยังไม่เป็นทางภารจำยอม โจทก์ไม่ฎีกาเกี่ยวกับที่ดินจำเลยที่ 3 คงมีปัญหาเฉพาะที่ดินของจำเลยที่ 1 ว่ามีทางภารจำยอมหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามีทางพิพาทอยู่ในที่ดินจำเลยที่ 1 เป็นทางใช้เดินเข้าออกสู่ถนนสายอุทัย – มโนรมย์ สำหรับโจทก์กับพวกตอนที่ย้ายเรือนเข้าไปปลูกในที่ดินทางทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเชื่อว่า เดิมที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นของนายบัวแม่นศร ต่อมานายบัวได้ขายให้แก่นางสุภรณ์ อุทโยภาส แล้วนางสุภรณ์ได้ให้พวกโจทก์ทำนาอาศัยในที่ดินแปลงนี้ตลอดมาจนขายให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2505 ดังนั้น แม้โจทก์จะได้ปลูกเรือนอาศัยในที่ดินซึ่งอยู่ข้างในก็ตาม แต่โจทก์ก็เพียงครอบครองแทนนางสุภรณ์เจ้าของที่ดิน จึงเรียกไม่ได้ว่า โจทก์ครอบครองใช้ทางพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ อายุความได้สิทธิของโจทก์จะเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้จะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบและเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อการใช้ทางพิพาทของโจทก์ขาดเจตนาเป็นเจ้าของแล้วจึงมิใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ อายุความได้สิทธิในทางภารจำยอมของโจทก์จึงยังไม่เกิดขึ้นในระยะที่นางสุภรณ์เป็นเจ้าของ ไม่จำต้องวินิจฉัยว่า นางสุภรณ์ซื้อที่ดินแปลงนี้จากนายบัวเกินกว่า 10 ปีแล้วหรือไม่ อายุความได้สิทธิภารจำยอมของโจทก์จะเริ่มต้นนับตั้งแต่นางสุภรณ์ขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2505แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินแล้วได้ปิดกั้นทางพิพาททันที ทางพิพาทนี้จึงไม่เป็นภารจำยอมเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401, 1382 กำหนดไว้ 10 ปี พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.