แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจำนวน 7,197,397 ลิตรจากประเทศสิงคโปร์เข้ามาในราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติการเสียภาษีได้ทันที จึงทำเรื่องขอผ่อนผันนำน้ำมันออกไปก่อนและเสียภาษีอากรภายหลัง จำเลยอนุญาตโดยให้โจทก์วางเงินสดจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็นประกันภาษีและอากรขาเข้าต่อมาปรากฏว่าน้ำมันที่โจทก์นำเข้ามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ โจทก์จึงไม่ได้สูบถ่ายน้ำมันจากเรือที่นำเข้าขึ้นไปเก็บในถังบนบก และโจทก์ได้รับอนุมัติจากจำเลยให้ส่งน้ำมันดังกล่าวคืนไปยังผู้ขายที่ประเทศสิงคโปร์ ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้นำน้ำมันเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จตั้งแต่ขณะที่เรือนำน้ำมันดังกล่าวเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลย แต่เงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยดังกล่าวมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้า จึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 9)พ.ศ. 2482 ทั้งมาตรา 112 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ได้กำหนดว่าในการวางเงินประกันเช่นนี้ พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อนดังนั้น โจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งของนั้นกลับออกไปตามบทบัญญัติดังกล่าว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำเข้าสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ชนิด คือน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซินชนิดพิเศษ และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จากประเทศสิงคโปร์เข้ามาในราชอาณาจักร เนื่องจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษียังส่งมาไม่ครบถ้วน โจทก์จึงทำเรื่องขอผ่อนผันนำสินค้าออกไปก่อนและเสียภาษีอากรในภายหลัง จำเลยอนุญาตให้โจทก์วางเงินสดจำนวน 86,461,000 บาท เพื่อเป็นประกันภาษีและอากรขาเข้าสำหรับน้ำมันทั้ง 3 ชนิด และโจทก์ได้วางเงินจำนวนดังกล่าวต่อจำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์ทราบว่าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่นำเข้าจำนวน 7,197,397 ลิตร มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน จึงไม่ได้สูบถ่ายขึ้นจากเรือไปเก็บในถังบนบกและโจทก์ได้ทำพิธีการทางศุลกากรขอส่งน้ำมันจำนวนดังกล่าวคืนให้ผู้ขาย จำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ส่งออกกลับคืนไปยังผู้ขาย และถือว่าไม่มีการนำเข้าน้ำมันจำนวนดังกล่าว หลังจากนั้นเมื่อวันที่2 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินอากรขาเข้าภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อมหาดไทย ของน้ำมันทั้ง 3 ชนิดที่โจทก์นำเข้าเป็นจำนวนเงิน 78,603,283 บาท โดยจำเลยนำเงินสดที่โจทก์วางประกันไว้ไปใช้ชำระค่าอากรขาเข้าและภาษีดังกล่าวส่วนเงินประกันที่ยังคงเหลืออีก 7,857,717 บาท จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ไปรับคืนจากจำเลย โจทก์จึงทราบว่าจำเลยได้นำเงินประกันของโจทก์ไปหักชำระเป็นค่าอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อมหาดไทยของน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน จำนวน 7,197,397 ลิตร ที่จำเลยอนุญาตให้โจทก์ส่งกลับคืนออกไปยังผู้ขายเป็นเงินอากรทั้งสิ้น3,706,658.49 บาท อันเป็นการไม่ชอบ ทำให้โจทก์ได้รับเงินประกันคืนขาดจำนวนไป 3,706,658.49 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินไปยังผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ราคา ต่อมากองพิธีการและประเมินอากรได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าการประเมินอากรสำหรับสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานถูกต้องแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ได้ขอคืนเงินอากรต่อกองคืนอากรและส่งเสริมการส่งออกแต่จำเลยได้แจ้งไปยังโจทก์ว่าโจทก์ไม่ได้ยื่นขอคืนเงินภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งออกจึงไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีอากรที่ชำระไว้ การที่จำเลยไม่คืนเงินจำนวน 3,706,658.49 บาท ให้โจทก์เป็นการไม่ชอบ เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่โจทก์นำเข้าและส่งคืนออกไปยังผู้ขายเดิมไม่อยู่ในข่ายที่ต้องเสียอากรขาเข้าและภาษีต่าง ๆ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินอากรนำเข้าและภาษีพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,903,574.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 3,706,658.49 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานสำเร็จแล้วตั้งแต่ขณะที่เรือซึ่งนำของเข้ามาในเขตท่าที่จะถ่ายของลงจากเรือความรับผิดของโจทก์ ในอันที่จะต้องเสียค่าภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่นำเข้าเกิดขึ้นแล้วในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จตาม มาตรา 10 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469จำเลยจึงมีอำนาจประเมินภาษีอากรน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานได้สำหรับกรณีที่โจทก์ส่งน้ำมันดังกล่าวกลับคืนไปยังผู้ขายเดิมที่ประเทศสิงคโปร์เนื่องจากคุณภาพน้ำมันไม่ได้มาตรฐานนั้น โจทก์มีสิทธิที่จะขอคืนเงินภาษีอากรได้ภายใน 6 เดือน ตามเงื่อนไขและข้อบังคับที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 แต่โจทก์ขอคืนเงินอากรเกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ส่งของนั้นกลับออกไป ตามมาตรา 19แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินอากรนำเข้าและภาษีจำนวน 3,706,658.49 บาทพร้อมดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3,706,574.49บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน3,706,658.49 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2532 โจทก์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ชนิด คือน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเบนซินชนิดพิเศษ และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจากประเทศสิงคโปร์เข้ามาในประเทศไทยโดยบรรทุกมาในเรือไอเวอร์ ติกิ เมื่อเรือเข้าจอดในเขตท่าที่จะถ่ายของลงจากเรือ โจทก์ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติพิธีการเสียภาษีได้ทันที โจทก์จึงทำเรื่องขอผ่อนผันนำสินค้าดังกล่าวออกไปก่อนและเสียภาษีอากรภายหลัง จำเลยอนุญาตโดยให้โจทก์วางเงินสดจำนวน 86,461,000 บาท เพื่อเป็นประกันภาษีและอากรขาเข้าน้ำมันทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว โจทก์ได้สูบถ่ายและเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจปล่อยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันเบนซินชนิดพิเศษเข้าไว้ในถัง ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่นำเข้าจำนวน 7,197,397 ลิตร มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้ โจทก์ไม่ได้สูบถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจากเรือไปเก็บในถังบนบกและจะต้องส่งน้ำมันดังกล่าวกลับคืนไปยังผู้ขายที่ประเทศสิงคโปร์น้ำมันดังกล่าวอยู่ในอารักขาศุลกากรรอผ่านพิธีการรีเอ๊กซ์ปอร์ตต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2532 จำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานออกไปจากอารักขาของศุลกากรได้เพื่อคืนไปยังผู้ขายเดิม ครั้นวันที่ 2 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินอากรขาเข้าภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อมหาดไทยและใบเสร็จรับเงินอากรขาเข้าของน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสามชนิดที่โจทก์นำเข้า โดยจำเลยหักเงินประกันที่โจทก์วางไว้เป็นค่าภาษีอากรขาเข้าภาษีสรรพสามิต และภาษีเพื่อมหาดไทย และให้โจทก์รับคืนเงินประกันที่เหลือจำนวน 7,857,719 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์การประเมินภาษีอากรไปยังกองวิเคราะห์ราคา กองพิธีการและประเมินอากร และกองคืนอากรและส่งเสริมการส่งออกตามลำดับแล้วกองคืนอากรและส่งเสริมการส่งออกมีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษีอากรที่ชำระไว้เพราะขัดต่อเงื่อนไขตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482ประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2532 ข้อ 2 และประกาศกรมศุลกากรที่26/2528 ข้อ 9 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกคืนเงินอากรขาเข้าและภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์นำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานเข้าเป็นอันสำเร็จตั้งแต่ขณะที่เรือนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาในเขตท่าที่จะสูบถ่ายน้ำมันจากเรือไปเก็บในถังบนบก เมื่อโจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรสำเร็จ โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีอากรให้จำเลย แต่เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถทำใบขนที่สมบูรณ์และปฏิบัติตามพิธีการเสียภาษีได้ทันที น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจึงยังคงเก็บอยู่ในเรือและอยู่ในอารักขาของศุลกากร โจทก์ขอวางเงินไว้เป็นประกันและจำเลยอนุญาตแล้ว เงินประกันดังกล่าวจึงมิใช่เงินค่าภาษีอากรขาเข้า เงินประกันดังกล่าวจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขของมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482และมาตรา 112 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 กำหนดว่าในการวางเงินประกันเช่นนี้ พนักงานศุลกากรจะต้องทำการประเมินและแจ้งให้โจทก์ผู้นำของเข้านำภาษีอากรไปชำระเสียก่อน ดังนั้นโจทก์จึงไม่ต้องขอคืนเงินภาษีอากรภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ส่งของนั้นกลับออกไป และเมื่อไม่อยู่ในหลักเกณ?์ของมาตรา 19ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามประกาศกรมศุลกากรที่26/2528 ข้อ 9 และประกาศกรมศุลกากรที่ 27/2513 ตามข้ออ้างของจำเลย จำเลยต้องคืนเงินประกันดังกล่าวให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามที่โจทก์ฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.