คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จำเลยฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหายคิดเท่ากับค่าเช่าเดือนละ300 บาท ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท แต่จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกทำให้เสียหายขอให้ลงโทษและพิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่พิพาทและใช้ค่าเสียหาย คดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่พิพาท และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่คดีส่วนอาญาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีส่วนอาญาจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์และฎีกาเฉพาะในคดีส่วนแพ่ง แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46บัญญัติว่าในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาเป็นยุติว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 36 เนื้อที่ 3 งาน90 ตารางวา มีชื่อนายมา นิสคำพร เป็นเจ้าของ นายมาได้ยกให้แก่นางสำรี ดาวลอยบุตรสาว นางสำรีได้ครอบครอง โดยปลูกพืชผักสวนครัวและไม้ยืนต้น เมื่อปี 2530 นางสำรีตาย จึงตกเป็นมรดกแก่โจทก์ จำเลยกับพวกได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงเพื่อยึดถือการครอบครอง แล้วจำเลยกับพวกได้ตัดต้นตาล ขนาดใหญ่1 ต้น ทำลายต้นกระชาย 1,000 ต้น ทำลายต้นกล้วย 50 กอ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 358, 359, 83 ให้จำเลยชำระค่าต้นไม้และค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 6,700 บาท แก่โจทก์ห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์และใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไป
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100 บาทนับแต่วันเข้าไปอยู่ในที่ดินโจทก์จนกว่าจะออกไป ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับคำขออื่นให้ยก และยกฟ้องคดีส่วนอาญา จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นควรวินิจฉัยประเด็นตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ก่อนว่า ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 หรือไม่ เห็นว่าจำเลยฎีกาเฉพาะคดีส่วนแพ่งซึ่งโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหายคิดเท่ากับค่าเช่าเดือนละ 300 บาท จึงถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท แต่จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 คำแก้ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยนั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยบุกรุกทำให้เสียหาย ขอให้ลงโทษและขอให้พิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์และให้ใช้ค่าเสียหายคดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ100 บาท นับแต่วันเข้าไปอยู่ในที่ดินของโจทก์จนกว่าจะออกไปแต่คดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่อุทธรณ์คดีส่วนอาญาจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยอุทธรณ์และฎีกาเฉพาะในคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ประเด็นนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาเป็นยุติว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างฟังไว้ในคดีส่วนอาญาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share