คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3713/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อตกลงในสัญญาจำนองมีว่า นอกจากโจทก์ต้องรับผิดในเงิน390,000 บาทแล้ว ยังต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยซึ่งลูกหนี้ผิดนัดด้วย ดังนั้น การที่โจทก์ขอไถ่ถอนจำนองในจำนวนเงิน390,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์เสนอขอชำระดอกเบี้ยด้วยจำเลยย่อมปฏิเสธการรับชำระหนี้และไม่ยอมให้ไถ่ถอนจำนองได้ การนำสืบพยานเอกสารตามประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบพยานภายหลัง แม้ไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวถามค้านพยานโจทก์ไว้จำเลยก็มีสิทธิอ้างส่งเอกสารดังกล่าวได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่10555 ตำบลนาดี (บางปิ้ง) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครนำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเงินกู้ของนายทองพูลปลั่งศิริ ซึ่งมีอยู่ขณะจดทะเบียนจำนองและในภายภาคหน้า ในวงเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 390,000 บาท ต่อจำเลย ต่อมา โจทก์ได้ยื่นเรื่องขอจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองต่อจำเลยในวงเงิน 390,000 บาท ปรากฏว่าจำเลยไม่ยอมรับการไถ่ถอนจำนองแต่กำหนดให้โจทก์ไถ่ถอนในวงเงิน 840,000บาท ซึ่งเป็นวงเงินที่เกินกว่าโจทก์ได้จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ไว้แก่จำเลย โจทก์จึงไม่สามารถดำเนินการไถ่ถอนได้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 10555 ให้แก่โจทก์ในจำนวนเงิน 390,000 บาท และให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวและรับเงิน 390,000 บาท จากโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามฟ้องเพื่อเป็นประกันหนี้ของโจทก์และหนี้ของนายทองพูล ปลั่งศิริ ซึ่งเป็นหนี้จำเลยผู้รับจำนองในขณะทำสัญญาจำนองหรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้า เป็นเงินจำนวน 390,000 บาท รวมตลอดทั้งหนี้ค่าอุปกรณ์นายทองพูล ปลั่งศิริ เป็นหนี้จำเลยสาขาสมุทรสาคร รวมเป็นเงิน5,102,640.97 บาท โจทก์ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินตามฟ้องเป็นเงินจำนวน 390,000 บาท เป็นการไม่ถูกต้อง โจทก์มิได้เสนอชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบถ้วนตามจำนวนเงินที่เป็นหนี้ จำเลยจึงไม่ต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์ และไม่ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์มิได้เสนอการชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองให้ถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนเงินที่เป็นหนี้จำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์และไม่ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่าโจทก์จะขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการจำนองที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ในจำนวนเงิน 390,000 บาท ได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนอง ข้อ 1 ระบุข้อความตอนหนึ่งว่าผู้จำนองได้จำนองเพื่อประกันเงินซึ่งนายทองพูลลูกหนี้ได้เบิกไปจากผู้รับจำนองหรือในเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งผู้จำนองหรือลูกหนี้เป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลาทำสัญญาจำนองหรือจะเป็นหนี้ต่อไปในภายหน้ากับค่าอุปกรณ์ คือ ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง ผู้จำนองยอมรับผิดชอบด้วยทั้งสิ้น และในข้อ 2 ระบุข้อความตอนหนึ่งว่า ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้รับจำนองในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในจำนวนเงินทั้งสิ้น ซึ่งลูกหนี้ที่กล่าวแล้วข้างต้นเป็นหนี้ผู้รับจำนองเงินดอกเบี้ยนี้จะได้คิดในยอดหนี้ประจำวันซึ่งปรากฏในบัญชีของผู้รับจำนอง ถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ ผู้จำนองยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของผู้จำนองและหรือลูกหนี้ด้วย ดังนั้นสัญญาจำนองย่อมมีความหมายว่า นอกจากโจทก์ผู้จำนองจะต้องรับผิดตามสัญญาจำนองเป็นเงิน 390,000 บาทแล้ว ยังต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยเมื่อนายทองพูลซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วย โจทก์จะขอไถ่ถอนจำนองในจำนวนเงิน 390,000บาท โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์เสนอขอชำระดอกเบี้ยด้วย จำเลยย่อมปฏิเสธการรับชำระหนี้และไม่ยอมให้ไถ่ถอนจำนองได้ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อต่อไปว่า จำเลยมีหน้าที่นำสืบภายหลังได้อ้างส่งสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย ล.11 และ ล.12 โดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ไว้จำเลยไม่มีสิทธิอ้างส่งเอกสารหมาย ล.11 และ ล.23 นั้น เห็นว่าจำเลยอ้างส่งเอกสารหมาย ล.11 และ ล.12 เพื่อการนำสืบตามประเด็นข้อต่อสู้ จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบโดยอ้างส่งเอกสารดังกล่าวได้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share