แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มิได้บรรยายว่า ข้อหาที่จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาอันเป็นเท็จนั้นเป็นความผิดอาญาข้อหาหรือฐานความผิดใด ทั้งคำบรรยายฟ้องในส่วนที่โจทก์คัดมาจากคำฟ้องในคดีอาญาที่จำเลยฟ้องโจทก์ก็ไม่มีข้อความใดที่จำเลยระบุว่า การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำความผิดอาญาซึ่งเป็นสาระสำคัญของฟ้องในข้อหาฟ้องเท็จที่จะต้องกล่าวถึง ส่วนข้อหาเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น เมื่อไม่บรรยายว่าจำเลยทั้งสองเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีในข้อหาหรือฐานความผิดใด ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรประเด็นสำคัญของคดีมีว่าอย่างไร ฟ้องของโจทก์ทั้งสามข้อหาจึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์ได้บรรยายเลขสำนวนคดีที่อ้างว่าจำเลยฟ้องเท็จและเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จมาในฟ้องก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีหาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์มิได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 และลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177, 180, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 และจำเลยที่ 1 กับที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 180วรรคสอง ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 175 จำคุก 4 เดือน สำหรับความผิดตามมาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 180 วรรคสอง เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามมาตรา 180 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 6 เดือนรวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่6 กันยายน 2531 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 นำเอาความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลอาญาตามคดีหมายเลขดำที่ ช.5209/2531ว่า โจทก์ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดสาขาปากคลองตลาด เลขที่ 0163240 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2531สั่งจ่ายเงิน 100,000 บาท ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์เป็นผู้กรอกรายการและลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ยกเว้นตรงช่องวันที่ใช้ปั๊มวันเดือนปี ซึ่งโจทก์ได้ปฏิบัติตามปกติวิสัยตลอดมาและเช็คฉบับก่อน ๆ ที่โจทก์ปฏิบัติแบบนี้เรียกเก็บเงินได้เสมอมา ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชี ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งระงับการจ่าย” จำเลยที่ 1ได้ติดตามทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าว แต่โจทก์เพิกเฉย และต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม 2531 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันเบิกความเท็จต่อศาลอาญาในคดีอาญาดังกล่าว และได้นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จโดยจำเลยที่ 1 เบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานว่า เมื่อประมาณปลายเดือนเมษายน 2531โจทก์นำเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาปากคลองตลาดลงวันที่ 7 มิถุนายน 2531 สั่งจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาท มาขอแลกเงินสดจากจำเลยที่ 1 ทั้งนี้โจทก์ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและกรอกรายการต่าง ๆ ต่อหน้าจำเลยที่ 1 ส่วนวันที่สั่งจ่ายได้มีการประทับมาก่อนแล้วในช่องวันที่สั่งจ่ายในเช็ค และจำเลยที่ 2 เบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานว่า เมื่อประมาณปลายเดือนเมษายน 2531ตอนบ่าย โจทก์ได้มาหาบิดาจำเลยที่ 2 แต่บิดาป่วยอยู่โรงพยาบาลโจทก์ถามหาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไปตามจำเลยที่ 1 มาพบจำเลยที่ 2 เห็นโจทก์หยิบเช็คซึ่งได้ประทับวันที่ในช่องวันที่สั่งจ่ายในเช็คแล้วเขียนจำนวนเงิน 100,000 บาท และลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็ค จำเลยที่ 1 รับเช็คดังกล่าวจากโจทก์แล้วมอบเงิน100,000 บาท ให้โจทก์ไป โดยความจริงแล้วโจทก์ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คดังกล่าวนำไปแลกเงินสดจากจำเลยที่ 1 โจทก์มอบเช็คดังกล่าวให้แก่บิดาจำเลยทั้งสองโดยมิได้ลงวันเดือนปีเพื่อเป็นการค้ำประกันโดยบิดาจำเลยทั้งสองตกลงว่าจะไม่นำไปเรียกเก็บเงิน จำเลยที่ 1ไม่ใช่ผู้ทรงได้นำเช็คไปลงวันที่โดยไม่มีอำนาจแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เห็นว่า โจทก์มิได้บรรยายเลยว่า ข้อหาที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาอันเป็นฟ้องเท็จนั้นเป็นความผิดอาญาข้อหาหรือฐานความผิดใด ทั้งคำบรรยายฟ้องในส่วนที่โจทก์คัดมาจากคำฟ้องในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ช.5209/2531 ของศาลอาญาก็ไม่มีข้อความใดที่จำเลยที่ 1 ระบุว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำความผิดอาญาซึ่งเป็นสาระสำคัญของฟ้องในข้อหาฟ้องเท็จที่จะต้องกล่าวถึง ส่วนข้อหาเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น เมื่อไม่บรรยายว่าจำเลยทั้งสองเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีในข้อหาหรือฐานความผิดใด ย่อมไม่อาจทราบได้ว่าข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร ประเด็นสำคัญของคดีมีว่าอย่างไรฟ้องของโจทก์ทั้งสามข้อหาจึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสองเข้าใจข้อหาได้ดีแม้โจทก์ได้บรรยายเลขสำนวนคดีที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องเท็จและจำเลยทั้งสองเบิกความและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จมาในฟ้องก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นหาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์มิได้ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองข้ออื่นอีก
พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์