แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติ ญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57ได้กำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดไว้อย่างช้าที่สุดไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัยกำหนดระยะเวลาอย่างช้าที่สุดดังกล่าวไม่คำนึงว่าผู้อุทธรณ์ได้ทราบถึงคำวินิจฉัยนั้นแล้วหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่11951 เนื้อที่ 6 ไร่ 16 ตารางวา ซึ่งซื้อมาจากนายฤทธิ์ กลิ่นสุคนธ์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2531 ในราคา 140,000บาท และในวันที่ 29 กันยายน 2531 ได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (สาขาเสนา) จำเลยที่ 1 เคยเป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวจากนายฤทธิ์เพื่อทำนาตั้งแต่พ.ศ. 2528 ด้วยวาจา สัญญาเช่า 1 ปี ใน พ.ศ. 2529 ได้ต่อสัญญาด้วยวาจาอีก 1 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2530 จำเลยที่ 1ทำหนังสือสัญญาเช่าต่ออีก 2 ปี ถึงกำหนดวันที่ 25 เมษายน 2532 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยที่ 3 เป็นอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีตำแหน่งเป็นกรรมการของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2533คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหนองน้ำใหญ่(คชก.ตำบลหนองน้ำใหญ่) ได้มีคำวินิจฉัยว่าให้โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเป็นผู้มีสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ทำนาปลูกข้าว เก็บเกี่ยวผลิตผลจากการทำนาในที่ดินดังกล่าวได้โดยถูกต้องตามกฎหมายและไม่ให้จำเลยที่ 1 เข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลหนองน้ำใหญ่ ต่อคชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิในการเช่าที่ดินดังกล่าวเพื่อทำนาอีก 4 ปีคชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มีการประชุมข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลหนองน้ำใหญ่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2533 โดยมีจำเลยที่ 3 ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ผลของการประชุมปรากฏว่า คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มีคำวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวตามกฎหมายโดยมีสิทธิเช่านาได้มีกำหนด 6 ปี นับตั้งแต่ฤดูการทำนา พ.ศ. 2529คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาดังกล่าวนี้โจทก์เพิ่งได้ทราบ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2533 โดยนายสำราญ แย้มโสภีกำนันตำบลหนองน้ำใหญ่นำหนังสือ ของจำเลยที่ 2 จากนายอำเภอผักไห่ไปแจ้งให้โจทก์ทราบ และโจทก์ได้รับเอกสารรายงานการประชุมคชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2533 ซึ่งทำให้โจทก์ต้องยื่นคำฟ้องในคดีนี้เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์ไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยาดังกล่าว ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามรายงานการประชุมครั้งที่ 1/2533 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2533 และให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11951 ตำบลหนองน้ำใหญ่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวนเนื้อที่ 6 ไร่ 16 ตารางวา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่29 พฤษภาคม 2533 โจทก์อุทธรณ์วันนี้พ้นกำหนด 60 วัน นับแต่คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดมีคำวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 57 บัญญัติว่า คู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดแต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัยเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวให้สิทธิคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด ที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยนั้นได้ แต่ก็ได้กำหนดระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.จังหวัดไว้อย่างช้าที่สุดไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย ซึ่งกำหนดระยะเวลาอย่างช้าที่สุดดังกล่าวนั้นไม่คำนึงถึงว่าผู้อุทธรณ์ได้ทราบถึงคำวินิจฉัยนั้นแล้วหรือไม่ ดังนั้น เมื่อคชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีคำวินิจฉัยในวันที่ 29 พฤษภาคม 2533 แต่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าวในวันที่ 13 สิงหาคม 2533 ซึ่งพ้นกำหนดหกสิบวันนับวันที่คชก.จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีคำวินิจฉัยแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยนั้นได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน