แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 ที่ห้ามมิให้เจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวกนั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้กับทางที่เป็นภารจำยอมโดยถูกต้องสมบูรณ์แล้วซึ่งอาจเป็นโดยนิติกรรมหรืออายุความก็ได้แล้วแต่กรณี ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่ได้ภารจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ ทางพิพาทจึงมิได้ตกอยู่ในภารจำยอม แม้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทางพิพาทจะถมดินทับทางดังกล่าวแล้วปลูกสร้างอาคารโจทก์ก็ไม่มีสิทธิยกกฎหมายดังกล่าวขึ้นอ้างได้ ที่ดินของโจทก์ติดถนนซึ่งเป็นทางสาธารณะ แม้ถนนดังกล่าวมีทางระบายน้ำริมถนนซึ่งเป็นของเทศบาลและโจทก์ไม่สามารถทำทางออกสู่ถนนได้ก็ตาม ที่ดินโจทก์ย่อมไม่เป็นที่ดินที่ถูกปิดล้อมไม่มีทางออกอันจะมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง และไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นในวรรคสองโจทก์จึงไม่มีสิทธิผ่านที่ดินจำเลย
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันและให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 และเรียกกรมธนารักษ์จำเลยสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 2 โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 12047, 12048 และ 1991ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์ทั้งสองติดทางซึ่งอยู่ในที่ดินราชพัสดุกว้างประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร ที่ดินราชพัสดุดังกล่าวโฉนดเลขที่ 1453 ทางดังกล่าวบิดามารดาของโจทก์ทั้งสองรวมทั้งโจทก์ทั้งสองและบริวารใช้เป็นทางผ่านเข้าออกสู่ถนนชัยณรงค์อันเป็นทางสาธารณะมาประมาณ 80 ปี แล้ว และที่ดินโจทก์ทั้งสองดังกล่าวยังอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกทางอื่นอีก ทางดังกล่าวจึงเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็น เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2529 จำเลยที่ 2ได้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดมีนายบุญมี ขวัญสกุล เป็นกรรมการผู้จัดการถมดินทับทางดังกล่าวแล้วปลูกสร้างอาคาร ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้เข้าออกได้ ขอให้พิพากษาว่า ทางดังกล่าวเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็น ให้จำเลยทั้งสองเปิดให้โจทก์ใช้และทำให้อยู่ในสภาพเดิมต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะทางพิพาทอยู่ในที่ดินของกระทรวงการคลังที่มอบให้จำเลยที่ 2 จัดการดูแลบำรุงรักษาใช้จัดหาประโยชน์ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518และกฎกระทรวง พ.ศ.2519 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของ ทางพิพาทอยู่ในที่ดินซึ่งใช้เป็นที่ตั้งของสำนักราชการบ้านเมืองเป็นทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ ทั้งทางด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ทั้งสองอยู่ติดกับทางสาธารณประโยชน์อยู่แล้วจึงไม่ได้อยู่ในที่ล้อม ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิปลูกสร้างอาคารขวางทางเดินเข้าออกซึ่งเป็นภารจำยอมนั้น เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1390 ที่โจทก์ยกขึ้นมาอ้างห้ามมิให้เจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวกนั้น เห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายชัดแจ้งแล้วว่าใช้กับทางที่เป็นภารจำยอมโดยถูกต้องสมบูรณ์แล้วซึ่งอาจเป็นโดยนิติกรรมหรืออายุความก็ได้แล้วแต่กรณีสำหรับทางพิพาทคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ภารจำยอมโดยอายุความแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีสิทธิยกอายุความขึ้นใช้ยันจำเลยได้ โจทก์จึงไม่ได้ภารจำยอมโดยอายุความซึ่งโจทก์ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ข้อนี้ตามฎีกาของโจทก์แล้วว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอม โจทก์จึงไม่มีสิทธิยกกฎหมายดังกล่าวขึ้นอ้างได้ ฎีกาที่โจทก์อ้างไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งเรื่องทางจำเป็นว่า แม้ที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะ แต่ทางสาธารณะเป็นทางระบายน้ำริมถนนชัยณรงค์ซึ่งเป็นของเทศบาลเมืองชัยนาท โจทก์ไม่สามารถถมทำทางออกสู่ทางสาธารณะได้นั้น ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่าที่ดินโจทก์ติดทางสาธารณะจึงไม่เป็นที่ดินที่ถูกปิดล้อมไม่มีทางออกและมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349วรรคหนึ่ง และไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นในวรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิผ่านที่ดินจำเลยโดยเหตุจำเป็น ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์พิพากษาประเด็นข้อนี้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน