แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยตกลงจะซื้อที่พิพาทจากโจทก์โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว แต่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นอื่น ต่อมาทางราชการได้รับรองว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดี.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 54 หมู่ที่ 7 ตำบลสุขเดือนห้าอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท เนื้อที่ 32 ไร่ 2 งาน เมื่อ พ.ศ. 2519จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปก่อสร้างอาคารในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ โจทก์ว่ากล่าวห้ามปรามจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าที่ดินเป็นของโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงจะซื้อที่ดินจากโจทก์ในราคาอันสมควร หากตกลงราคาซื้อขายกันไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดิน หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ยอมซื้อที่ดินจากโจทก์ โจทก์ว่ากล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ยอม ขอให้บังคับจำเลยที่ 1ซื้อและชำระราคาที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ในราคาที่เป็นธรรม หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมซื้อและชำระราคาก็ให้จำเลยทั้งสองรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์และห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของที่พิพาท ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ทั้งคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 63/2523 หมายเลขแดงที่ 321/2525ของศาลชั้นต้น ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีของโจทก์ฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 63/2523 หมายเลขแดงที่ 321/2525 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่พิพาทแปลงนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามคำพิพากษาฎีกาที่3058/2530 ระหว่าง นางจงจินต์ แสงเขียว โจทก์ นายสด เมฆเขียวจำเลย (คดีหมายเลขแดงที่ 321/2525 ของศาลชั้นต้น) ดังนั้นเมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องโดยโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นคู่ความคนเดียวกับโจทก์ จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 321/2525 ของศาลชั้นต้นและเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน มีประเด็นเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 321/2525 ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีก่อนคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 321/2525 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนที่พิพาทได้ โดยไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้ออื่น ดังนี้ คดีก่อนเป็นที่ยุติว่าให้ยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ต่อมาทางราชการได้รับรองว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้โจทก์ยึดถือครอบครองที่พิพาทได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้อีก เพราะคดีก่อนศาลยังมิได้มีการวินิจฉัยประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148…”
พิพากษายืน.