แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้วจำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยก็คือ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้น จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรเสีย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายร่วมกันลักเอาโค 4 ตัว ราคา 16,000 บาทซึ่งเป็นทรัพย์อันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรมของนายคำปัน กลิ่นส่งผู้เสียหาย ผู้มีอาชีพกสิกรรมทำนา ไปโดยทุจริต และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป ต่อมาจำเลยทั้งสองกับพวกอีกสองคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้นำโค 3 ตัว ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกลักไปดังกล่าว ไปขายให้แก่ผู้มีชื่อ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันรับเอาไว้ ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายซึ่งทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายดังกล่าวจากคนร้ายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 336 ทวิ,357, 83 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาโค 4 ตัว ราคา16,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษของจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 437/2531 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรม อันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 7 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 437/2531 ของศาลชั้นต้นไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้พิพากษาแล้ว จึงไม่นับโทษต่อให้คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83 จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในเบื้องต้นจะได้วินิจฉัยฎีกาโจทก์ก่อนว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันไปรับโคของผู้เสียหายและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ย่อมฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองรวมกันลักโคของผู้เสียหายนั้น เห็นว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาคงได้ความตามคำเบิกความของผู้เสียหายและนายอ้วนบิดาผู้เสียหายว่า หลังจากโคของผู้เสียหายถูกคนร้ายลักไปแล้วนายคำและนายส่วยได้มาติดต่อจำเลยทั้งสองให้นำรถยนต์มาบรรทุกโคของผู้เสียหายไปขายให้แก่นายตุ่นเช่นนี้ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองช่วยจำหน่ายหรือช่วยพาเอาไปเสียซึ่งโคของผู้เสียหายอันเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เท่านั้น การกระทำดังกล่าวถ้าจะเป็นความผิดก็จะเข้าลักษณะรับของโจรเท่านั้น หาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ แม้หากจะฟังข้อเท็จจริงต่อไปตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกับนายคำและนายส่วยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายก็ตามแต่ข้อเท็จจริงเพียงแค่นี้ก็ไม่ได้เป็นข้อบ่งชี้ให้ชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเป็นคนร้ายลักโคดังกล่าวของผู้เสียหายไปศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ต่อไปจะได้วินิจฉัยฎีกาจำเลยทั้งสองที่ขอให้ยกฟ้องโจทก์นั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์กรณีย่อมต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้ว จำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยก็คือจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้นจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ที่ลงโทษจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานรับของโจร ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2