คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2714/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกได้เรียกเงินจาก ก. จำนวน 200,000 บาท โดยบอกว่าจะนำไปให้พลตำรวจโท ส. เป็นค่าตอบแทนในการที่จะให้บุตรชายของ ก. บรรจุเข้าเป็นนายตำรวจโดยไม่ต้องสอบจะบรรจุเป็นการภายในเงินดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนอะไร ก. ไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยจะนำไปจัดการ ต่อมาบุตรชายของ ก. ไม่ได้เข้ารับราชการกรมตำรวจดังนี้ การ ก. มอบเงินให้จำเลยไปตามที่จำเลยกับพวกเรียกในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องยังไม่แน่ชัดว่า ก. ให้เงินไปเพื่อให้จำเลยกับพวกนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของจำเลยกับพวกให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่บุตรชายของ ก.ถือไม่ได้ว่า ก. ได้ร่วมกับจำเลยและพวกนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ก.ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยฐานฉ้อโกงได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกหลายคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้หลอกลวงนายกลิ่น สังข์กระแสร์ ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยกับพวกรู้จักกับพลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์อธิบดีกรมตำรวจ สามารถฝากนายธวัชชัย สังข์กระแสร์ บุตรชายผู้เสียหายให้เข้ารับราชการตำรวจได้ โดยจะนำบุตรชายผู้เสียหายไปฝากกับพลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธุ์ รองอธิบดีกรมตำรวจหากไม่ได้จะนำเข้าหาอธิบดีกรมตำรวจโดยตรงและอ้างว่ารู้จักกับนายมนตรี พงษ์พานิช ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยขอค่าวิ่งเต้นเป็นเงิน 200,000 บาท และจะพาเข้ารายงานตัวภายใน7 วัน และจำเลยกับพวกได้แสดงภาพถ่ายพวกของจำเลยร่วมกับอธิบดีกรมตำรวจและพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ให้ผู้เสียหายดูด้วยซึ่งเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วจำเลยไม่รู้จักพลตำรวจเอกณรงค์ มหานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธุ์ รองอธิบดีกรมตำรวจ นายมนตรี พงษ์พานิชรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และไม่สามารถฝากบุตรชายของผู้เสียหายให้เข้ารับราชการกรมตำรวจได้ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้นเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินจำนวน 200,000 บาทให้จำเลยกับพวกไป และจำเลยกับพวกก็ไม่สามารถฝากบุตรชายของผู้เสียหายให้เข้ารับราชการกรมตำรวจได้ ทั้งนี้ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 200,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามฟ้องของโจทก์และคำแถลงรับของผู้เสียหายตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่10 สิงหาคม 2532 ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้เรียกเงินจากผู้เสียหายจำนวน 200,000 บาท โดยบอกว่าจะนำไปมอบให้กับพลตำรวจโทเสน่ห์ สิทธิพันธุ์ เป็นค่าตอบแทนในการที่จะให้นายธวัชชัย สังข์กระแสร์ บุตรชายของผู้เสียหายบรรจุเข้าเป็นนายตำรวจโดยไม่ต้องสอบจะบรรจุเป็นการภายใน เงินค่าตอบแทนดังกล่าวเป็นค่าตอบแทนอะไรผู้เสียหายไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยจะนำไปจัดการต่อมาบุตรชายผู้เสียหายไม่ได้เข้ารับราชการกรมตำรวจ ฝ่ายจำเลยขอผัดผ่อนเรื่อยมา เห็นว่า การที่ผู้เสียหายมอบเงินจำนวน200,000 บาท ให้จำเลยไปตามที่จำเลยกับพวกเรียกจากผู้เสียหายในลักษณะดังกล่าว เป็นเรื่องยังไม่แน่ชัดว่าผู้เสียหายให้เงินไปเพื่อให้จำเลยกับพวกนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการใด ๆโดยวิธีอันทุจริต หรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของจำเลยกับพวกให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่บุตรชายของผู้เสียหาย จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้ร่วมกับจำเลยและพวกนำสินบนไปให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ผู้เสียหายย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย มีสิทธิที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share