คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินสามีโจทก์ไป ต่อมาสามีโจทก์ตาย โจทก์เป็นผู้รับมรดก ได้มอบให้ ส.เป็นผู้รักษาสัญญาไว้ และจัดการทรัพย์สินตามเอกสารสัญญา ส.นำสัญญากู้คืนให้จำเลยที่ 1 แล้วทำสัญญากู้ใหม่ โดยใส่ชื่อ ส.เป็นผู้ให้กู้และใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้แทน โจทก์กับ ส. จึงมีคดีพิพาทกันและทำสัญญายอมความกันไว้ โดยส.รับว่าเงินรายนี้เป็นของสามีโจทก์จริง โจทก์จึงขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองใช้หนี้ เงินกู้นั้น ดังนี้ เมื่อเป็นที่เห็นได้ตามคำฟ้องว่า ส.กระทำไปโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมในการกระทำระหว่าง ส.กับจำเลยทั้งสอง จะถือว่าโจทก์ฟ้องว่ากรณีเป็นการแปลงหนี้ โดยชอบแล้วหาได้ไม่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เงินสามีโจทก์ไปได้ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้กู้เงินสามีโจทก์ไป ก็ไม่มีหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดด้วยไม่ได้ (อนึ่ง ในปัญหาข้อนี้ แม้จำเลยจะขอให้ ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิเรียกร้องของ ส. ตามสัญญาประนีประนอม แต่โจทก์หรือ ส. มิได้แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ทราบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่เมื่อศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะไม่มีหนี้ต่อกัน ดังนี้ ศาลก็ย่อมพิพากษาให้ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที 2 เสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เงินของนายสุขสามีโจทก์ไป ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมานายสุขตาย โจทก์ผู้มีสิทธิรับมรดกได้มอบให้นายสละเป็นผู้เก็บรักษาเอกสารกู้ไว้ นายสละได้นำสัญญากู้คืนให้จำเลยที่ ๑ แล้วทำสัญญากู้ใหม่โดยใส่ชื่อนายสละเป็นผู้ให้กู้และใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้แทน โจทก์กับนายสละ ได้มีคดีพิพาทกัน และทำสัญญายอมความไว้ โดยนายสละรับว่าเงินรายนี้เป็นของนายสุขจริง ตั้งแต่กู้ไปแล้วจำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองต่างให้การต่อสู้คดี
ก่อนสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นในข้อตัดฟ้องของจำเลยที่ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีชื่อเป็นผู้กู้เงินโจทก์ จึงฟ้องบังคับจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ และจำเลยที่ ๒ ก็มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธินายสละ แต่มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นพ้องด้วย และวินิจฉัยว่า การแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามฟ้องนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมาย โจทก์หรือนายสละไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ส่วน จำเลยที่ ๒ นั้น โจทก์กับนายสละมิได้แจ้งการโอนหนี้ระหว่างกัน ให้จำเลยที่ ๒ ทราบ การโอนจึงไม่สมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามฟ้องไม่ใช่เป็นเรื่องแปลงหนี้ หนี้เดิมไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามฟ้องและสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฟ้องจะปรากฎว่านายสละเป็นผู้เก็บรักษาเอกสารและจัดการทรัพย์สินตามเอกสาร เหล่านั้นก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ตามคำบรรยายฟ้องกับสำเนาสัญญาดังกล่าวนั้นว่าด้วยนายสละกระทำไปโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมจนถึงฟ้องร้องกันเป็นคดีอาญา โจทก์หาได้ฟ้องว่ากรณีเป็นการแปลงหนี้โดยชอบแล้วไม่ ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะที่ได้ทำสัญญากู้เงินของสามี โจทก์ไปนั้นได้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ได้กู้เงินสามีโจทก์ไป ก็ไม่มีหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ แต่อย่างใด โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๒ ไม่รับผิดด้วยไม่ได้
พิพากษาแก้โดยให้ยกฟ้องคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share