แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อที่ดิน ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินดังกล่าว และใช้ค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อแก่จำเลยทั้งสองโดยจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านก็ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 423 ตำบลท่าแร้ง (คลองถนน) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินตามโฉนดดังกล่าวที่โจทก์นำมาจัดสรรขายเป็นแปลงแปลงที่ 760 เนื้อที่ 100 ตารางวา ตารางวาละ 750 บาท เป็นเงิน75,000 บาท หากผู้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดถือว่าผิดสัญญา ยอมให้ริบเงินค่าเช่าซื้อที่ส่งมาแล้วทั้งหมด โดยมิต้องบอกกล่าวและถือว่าสัญญาระงับ เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยทั้งสองปลูกบ้านเลขที่191/2 ลงบนที่ดิน ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญา สัญญาระงับสิ้นสุดลงทันที โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองย้ายบ้านและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยเพิกเฉย โจทก์อาจนำที่ดินให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าประมาณเดือนละ 2,000 บาท ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านเลขที่ 191/2 หมู่ 1 ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ขนย้ายสิ่งของและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนขนย้ายสิ่งของและบริวารแล้วเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าเช่าซื้อที่ดินของโจทก์ตามฟ้องจริง และชำระค่าเช่าซื้อโดยไม่เคยผิดสัญญาแต่อย่างใดต่อมาโจทก์พิพาทกับนายอาทร สังขะวัฒนะเจ้าของที่ดินเดิม แสดงว่าโจทก์เลื่อนลอยไม่แน่นอนว่าจะโอนที่ดินให้จำเลยทั้งสองได้ ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีระหว่างที่โจทก์พิพาทกับเจ้าของที่ดินเดิมจำเลยทั้งสองติดต่อโจทก์เพื่อชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์แจ้งว่ายังไม่ต้องชำระค่าเช่าซื้อก็ได้จนกระทั่งวันที่ 15 ธันวาคม 2531 เจ้าของที่ดินเดิมจึงได้โอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจะชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ โจทก์ผิดสัญญาคิดค่าเช่าซื้อค้างชำระรวมดอกเบี้ยและบริการอื่น ๆ จำเลยทั้งสองจึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกินเดือนละ 200บาท โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากจำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนขนย้ายบ้านที่ปลูกออกจากที่ดินจะเกิดความเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้ถมที่ดิน ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นคิดเป็นเงิน 300,000บาท ถ้าหากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองได้ จำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนขนย้ายบ้าน โจทก์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 380,000 บาท ด้วยขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์โอนที่ดินแปลงที่ 760 เนื้อที่ดิน100 ตารางวา โฉนดเลขที่ 423 ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองยินดีชำระเงินส่วนที่ค้างชำระจำนวน 49,000 บาท แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยทั้งสองได้และจำเลยต้องรื้อถอนบ้านเลขที่ 191/2 หมู่ 1 ถนนรามอินทรา ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 380,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ค่ารื้อถอนบ้าน ค่าขนย้ายและค่าถมที่ดินเพื่อปลูกบ้านเป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา มูลพิพาทระหว่างโจทก์กับนายอาทร สังขะวัฒนะจำเลยทั้งสองจะนำมาเป็นข้ออ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยทั้งสอง ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง เห็นว่า มีเงื่อนไขและไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นฎีกามีว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเป็นฟ้องที่ต้องห้ามมิให้ฟ้องรวมกันมาพร้อมคำให้การเป็นคดีเดียวกันหรือไม่เห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 49,000 บาทแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ฟ้องแย้งข้อ 3 ที่ว่าหากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยทั้งสองได้ และจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านเลขที่ 191/2 หมู่ 1 ถนนรามอินทรา ตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ออกไปแล้วให้โจทก์ชดใช้ค่าที่ดินเพิ่มขึ้น 300,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายที่ต้องรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวออกไปอีก 80,000 บาท รวมเป็นเงิน 380,000 บาทและฟ้องแย้งข้อ 4 ขอให้โจทก์เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เป็นคำฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.