คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกที่เช่าซื้อมีค่าเช่าตามสัญญาในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และค่าเสียหายตามฟ้องไม่เกิน สองหมื่นบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยและจำเลยฎีกาต่อมาก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบตามมาตรา 249 สัญญาเช่าที่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ฉบับละ 3 ปี ติดต่อกันโดยทำสัญญาหลายฉบับในคราวเดียวกันโดยลงวันที่ล่วงหน้าเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงต่อบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 538 ซึ่งบังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจะนำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวเลขที่187/19-20 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2528 จำเลยได้เช่าตึกแถวดังกล่าวจากโจทก์ มีกำหนดเวลา 3 ปี ครั้นเดือนเมษายน 2528 จำเลยได้นำตึกแถวที่เช่าจากโจทก์ไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ เป็นการผิดสัญญาเช่าข้อ 7 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้วขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถว และส่งมอบตึกแถวต่อโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องในตึกแถวพิพาทต่อไปให้จำเลยใช้เบี้ยปรับ 18,600 บาท แก่โจทก์ และต่อไปวันละ 200 บาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้เช่าตึกแถวตามฟ้องจากโจทก์มีกำหนด 15 ปี ทำสัญญาฉบับละ 3 ปี รวม 5 สัยญา ได้เสียเงินกินเปล่าให้โจทก์ไปหลังละ 25,000 บาท รวมเป็นเงิน 50,000 บาทอัตราค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท ขณะทำสัญญาเช่า ตึกแถวดังกล่าวยังมีผู้อื่นเช่าอยู่ โจทก์รับรองว่าจะให้ผู้อยู่ในตึกเช่านั้นออกไปเพื่อให้ำจเลยเข้าอยู่ต่อไป แต่โจทก์มิได้จัดการให้และจำเลยยังเข้าอยู่ไม่ได้ จำเลยไม่เคยให้บุคคลอื่นเช่าช่วง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยได้รับความเสียหายเข้าอยู่ในตึกแถวพิพาทมิได้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาห้ามโจทก์กระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครองครองตึกแถวพิพาท และให้โจทก์ขับไล่ผู้อยู่ในตึกพิพาทแล้วส่งมอบให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าเข้าอยู่ได้ตลอดไปตามสัญญาเช่าจนครบสัญญาเช่าทั้งห้าฉบับ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยรับเงินกินเปล่าจากจำเลยขณะทำสัญญาเช่าไม่มีผู้เช่าอยู่ในตึกแถวพิพาท เพราะก่อนหน้านี้จำเลยเป็นผู้เช่าอยู่ก่อนแล้ว โจทก์ได้บอกเลิการเช่าโดยชอบแล้ว และโจทก์ไม่ได้โต้แย้งสิทธิของจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทและส่งมอบให้โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าปรับเป็นเงิน 4,150 บาท และเบี้ยปรับอีกวันละ 50 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทที่เช่าตามสัญญาเช่าทรัพย์สินท้ายคำฟ้องอันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท แม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับมาด้วย ก็เป็นทุนทรัพย์ที่ไม่เกินสองหมื่นบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญาหข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้และจำเลยฎีกาต่อมาอีก ก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนในปัญหาที่จำเลยฎีกา ขอให้บังคับโจทก์ให้จำเลยเช่าตึกพิพาทตามสัญญาเช่าทรัพย์สินตามเอกสาารหมาย ล.3 ล.4 และ ล.5ต่อจากสัญญาเช่าทรัพย์สินท้ายคำฟ้องต่อไป โดยให้โจทก์ขับไล่ผู้อยู่ในตึกพิพาทแล้วส่งมอบให้แก่จำเลยจนกว่าจะครบสัญญาเช่าตามฟ้องแย้งของจำเลยนั้น พิเคราะห์สัญญาเช่าทรัพย์สินตามเอกสารหมาย ล.3 ล.4และ ล.5 ของจำเลยแล้ว เห็นว่า เป็นสัญญาเช่าที่ทำต่อจากสัญญาเช่าทรัพย์สินท้ายคำฟ้องของโจทก์ มีกำหนดการเช่าฉบับละ 3 ปีติดต่อกันไป ถือได้ว่าเป็นสัญญาเช่าที่ทำไว้ล่วงหน้าในคราวเดียวกันโดยลงวันที่ล่วงหน้าเอาไว้เพื่อให้สัญญาแต่ละฉบับมีอายุการเช่า3 ปี เป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งบังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีเช่นนี้จำเลยจำนำเอาสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย ล.3 ล.4 และ ล.5 มาฟ้องบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยไม่บังคับโจทก์ตามฟ้องแย้งของจำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอนึ่ง เมื่อคดีไม่อาจบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยได้แล้ว ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องแย้งของจำเลยเสีย แต่ศาลชั้นต้นมิได้กล่าวถึงให้ชัดแจ้งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมา ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share