คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทมีข้อตกลงว่าโจทก์ผู้จะซื้อจะต้องชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือทั้งสิ้นจำนวน 137,500 บาท ให้แก่จำเลยผู้จะขายภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2529 และจำเลยจะโอนที่ดินให้โจทก์ในวันเดียวกัน ถือได้ว่าสัญญาฉบับพิพาทดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีกำหนดชำระหนี้กันแน่นอน ซึ่งมีวัตถุประสงค์แห่งหนี้ที่โจทก์ต้องปฏิบัติการชำระให้แก่จำเลย คือชำระด้วยเงินเท่านั้นแต่ครั้นถึงกำหนดชำระหนี้ ปรากฏว่าโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยไม่ครบตามสัญญา โดยในส่วนที่เหลือโจทก์ได้ทำสัญญากู้ให้จำเลยเป็นประกันมีกำหนดชำระเงิน 1 ปี จึงเท่ากับว่าคู่สัญญาตกลงกันให้เลื่อนการชำระหนี้ออกไปได้อีก ดังนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญากู้โจทก์ไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วน ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1308 ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา ซึ่งจำนองไว้ต่อสหกรณ์การเกษตรไชยา จำกัด จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลย 62,500 บาท เป็นค่ามัดจำ ส่วนที่เหลือตกลงชำระให้ภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2529 และจำเลยจะโอนที่ดินให้ในวันเดียวกันจำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองมาโดยตลอด โจทก์ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยครบถ้วนภายในกำหนดแล้วโดยชำระเป็นเงินสด 75,000 บาท และได้ทำสัญญากู้ไว้อีกจำนวน 62,500 บาท แต่จำเลยผิดสัญญา ขอให้จำเลยไปทำการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 1308 ตำบลทุ่ง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีต่อสหกรณ์การเกษตรไชยา จำกัด และทำการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2529 แต่จำเลยก็ยินยอมให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่ค้างจำนวน 62,500 บาท ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน แต่เมื่อครบกำหนดโจทก์ไม่ชำระเงิน จำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินแต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาต่อโจทก์ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2531ทั้งจำเลยมิได้มอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทตามข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้นจะเห็นว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทรายนี้ เป็นสัญญาต่างตอบแทน คู่สัญญามีกำหนดชำระหนี้ต่อกันแน่นอนในวันที่30 พฤษภาคม 2529 แต่เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์กลับไม่มีเงินชำระหนี้ให้แก่จำเลยได้ครบถ้วน คงชำระหนี้ให้เพียงบางส่วนส่วนที่ค้างชำระโจทก์ได้ทำเป็นสัญญากู้ให้กับจำเลยไว้เป็นประกันมีกำหนดชำระเงิน 1 ปี จึงเท่ากับคู่กรณีตกลงให้เลื่อนการชำระหนี้ออกไปอีก 1 ปี แต่เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญากู้แล้ว โจทก์ก็ยังไม่สามารถนำเงินมาชำระให้แก่จำเลยได้ครบถ้วน คงชำระให้เพียงบางส่วน จำเลยได้เลื่อนการชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นครั้งที่ 2ในวันที่ 3 สิงหาคม 2531 แต่เมื่อถึงวันที่เลื่อนมาโจทก์ก็ไม่ชำระหนี้ส่วนที่ขาดให้แก่จำเลย เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาใช่จำเลยผิดสัญญาไม่ เมื่อโจทก์ไม่ชำระหนี้ค่าที่ดินให้ครบถ้วนถูกต้องตามสัญญาจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ การที่โจทก์ทำสัญญากู้ให้แก่จำเลยเท่ากับจำนวนค่าที่ดินส่วนที่ขาดก็เพื่อให้เป็นประกันต่อกันเท่านั้น หาใช่เป็นการชำระหนี้ที่ถูกต้องดังที่โจทก์ฎีกาไม่ เพราะวัตถุประสงค์แห่งหนี้ที่โจทก์ต้องปฏิบัติการชำระแก่จำเลย คือชำระด้วยเงินสดเท่านั้นและแม้จะได้ความตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยตกลงจะโอนที่ดินให้โจทก์ภายใน 2 เดือน นับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2529 แต่ก็ต้องได้ความว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบถ้วนเสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่โอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share